คุณกรณ์ มอง Digital Asset จะมาพลิกโฉมการลงทุนอย่างไร?
คนให้ความสนใจDigital Asset เยอะมาก เหมือนกับปี2017ที่เป็นช่วงบูม ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนหรือไม่ คุณกรณ์กล่าวว่า ถือเป็นพัฒนาการ เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องจากปี 2017 เหมือนเป็นการเรียนรู้ บ่มเพาะ นำมาสู่การยอมรับมากขึ้นในปัจจุบัน และช่วงหลังมาขาใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งบริษัทการเงินหรือบริษัทการลงทุนขนาดใหญ่ ก็ทำให้น่าเชื่อถือมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ตัว Digital Asset ตัวไหนที่มองว่าน่าสนใจ และ Impact กับคนไทย คุณกรณ์มองว่าคือ Bitcoin แต่พอ Bitcoin เริ่มกลับมาเป็นที่ยอมรับ กลับได้รับความต่อต้านจากหลาย ๆ รัฐบาล โดยประเทศที่เป็นประชาธิปไตยน้อยแค่ไหน จะมีทัศนคติที่เป็นลบต่อ Bitcoin มากขึ้นเท่านั้น ประเทศที่มีความสามารถที่จะกำหนดนโยบายทางการเงินตลอด มักมีความกังวลที่จะสูญเสียอำนาจการโอนทรัพย์สินเข้าออกประเทศ ทำให้ทัศนคติของประเทศเหล่านี้ยังติดลบ ผมคิดว่าสุดท้ายขึ้นอยู่กับหน้าที่ของมัน เช่น คริปโตสามารถใช้แทนสกุลเงินทั่วไปได้หรือไม่ แต่สำหรับผมคิดว่ามันเป็นสินทรัพย์มากกว่าสกุลเงิน เพราะคุณสมบัติการเป็นเงินยังไม่ครบ คือ ยังไม่มีการยอมรับ ความสะดวกยังน้อย การเก็บอาจยังไม่เสถียรเท่ากับเก็บเป็นสกุลเงินทั่วไปที่มีธนาคารการันตี มีรัฐบาลคอยสนับสนุนเพราะมีกฎหมายยอมรับ ในส่วนนี้คริปโตเลยยังมีข้อจำกัด อีกมุมมองต่อคริปโต คือ ผมไม่คิดจะเอามาแลกเปลี่ยนเป็นสินค้า แต่ถือไว้เพื่อเก็งกำไร ถ้าเปรียบเทียบกับสกุลเงินทั่วไป เช่น บาท ที่เก็บไว้เผื่อใช้ ไม่ได้เก็บไว้เพื่อให้มันสูงขึ้น ดังนั้น เหตุผลในการถือมันต่างกัน อีกประเด็นสำคัญคือราคามันหวือหวามาก จะเกิดปัญหาในแง่ความน่าเชื่อถือในฐานะสกุลเงิน ในด้านภาษี ประเทศเรายังมีการเก็บภาษี เพราะกรมสรรพากรยังไม่มองว่าคริปโตเป็นเงิน ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนมือ จึงมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ต้นทุนสูงกว่าประเทศอื่น ๆ มีคนมองค่าในเมื่อสิ่งนี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ ควรงดเรื่องภาษีเพื่อให้มันเกิดก่อนไหม หัวใจคือ แต่ละประเทศมีทัศนคติยังอย่างไรต่อนวัตกรรม ถ้าเราอยากให้มันเกิดในประเทศไทย ผมเห็นด้วยว่าควรส่งเสริม โดยเฉพาะส่งเสริมด้านภาษี ซึ่งที่ผ่านมาน่าเสียดายที่ก.ล.ต.ไม่ได้สนับสนุนเท่าที่ควร
ถ้าแบงก์ชาติออกสกุลเงินดิจิตอลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) ออกมา จะกระทบต่อระบบคริปโตอย่างไร คุณกรณ์อธิบายให้ฟังว่าคริปโตเริ่มต้นจากวิกฤติเศรษฐกิจที่กลุ่มคนหมดศรัทธากับเงินที่รัฐเป็นศูนย์กลาง นำไปสู่แนวความคิดว่าจะใช้ระบบ Blockchain ที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายเพียงผู้เดียว แต่มีตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Bitcoin ยังไม่สามารถไปถึงจุดที่ตั้งใจตามอุดมการณ์ได้ เพราะ ช่วงจังหวะที่ Elon Musk ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับ Bitcoin ส่งผลให้ราคาขึ้นลงอย่างผันผวน หมายความว่า Bitcoin ยังเป็นเรื่องใหม่อยู่ ในอนาคต หากมีการถือในวงกว้างมากขึ้น การที่ความเห็นของใครคนใดคนหนึ่งที่มีผลกระทบจะลดลง อย่างไรก็ตามคุมกรณ์มองว่า CBDC และ คริปโตจะมีความต่างในหลักปรัชญา แต่ยังไงแล้วคริปโตยังมีที่อื่นแน่นอน ประเด็นสำคัญก็คือ ไม่อยากให้ภาครัฐ ส่งสัญญาณในทางลบกับนวัตกรรมทางการเงินแบบนี้ แต่อยากเห็นความพยายามในการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนในคริปโต
ถ้าคุณกรณ์สามารถชูการให้บริการของภาครัฐโดยใช้เทคโนโลยี(Govtech)ขึ้นมาได้ อะไรที่เป็นรูปธรรมและเห็นผลเร็วที่สุด ในส่วนตัวคุณกรณ์มองว่ารัฐบาลทำได้ดีมากในเรื่องของ ‘แอพเป๋าตัง’ซึ่งคือ GovTech ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยผันมือให้ถึงประชาชนให้ไวที่สุดโดยการกระตุ้นกำลังซื้อ
ในเรื่องฟองสบู่แตก คุณกรณ์มองว่าเป็นเรื่องคู่ขนานกับการลงทุน เพราะการลงทุนเป็นการต่อสู้ระหว่างสองความโลภและความกลัว ซึ่งบางทีความโลภมักเอาชนะ ที่เราจะได้ยินบ่อยและขอให้ระมัดระวัง คือ ‘ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน’ ต้องประเมินว่าแตกต่างจริงหรือพื้นฐานของมันยังเหมือนเดิม ปัญหาของ Bitcoin คือ ยังหาจุดสมดุลไม่ได้เนื่องจากประวัติที่ไม่ยาวนานของมัน อย่างทองซึ่งมีประวัติกว่า4,000 ปี ทำให้เราประเมินได้ว่ามูลค่าของมันจะเท่าไหร่หากเกิดสถานการณ์แบบนี้ ราคาไหนเป็นราคาที่สมดุล แต่ Bitcoin เรายังไม่รู้ว่าราคาไหนคือราคาที่น่าจะใช่ที่สุดอาจต้องรอเวลาถึงจะมีเสถียรภาพทางราคา
หากรัฐบาลกู้เงินเกินเพดาน คือ 60% ของ GDP จะเกิดอะไรขึ้น คุณกรณ์กล่าวว่าไม่เกิดอะไรขึ้น ถ้ารัฐบาลมีคำอธิบายที่ดี ว่าเรามีเงินจ่ายหนี้ไม่ต้องกังวล ดังนั้นขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือ วิธีวัดคือ เทียบหนี้คือเงินต้นกับดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายในแต่ละปี กับรายได้ ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยหนี้เกือบ 60% แล้ว ขณะที่ส่วนของภาษีที่รัฐต้องเอาไปใช้มีน้อยมาก ดังนั้นขึ้นอยู่กับรัฐว่าจะบริหารยังไงให้คุ้มค่า ถ้าเศรษฐกิจก้าวหน้าประชาชนก็ยอมรับได้ แต่ถ้าบริหารแล้วไม่พัฒนาจะเกิดปัญหาตามมา
