#ไม่ด่วนแต่สำคัญ! Howard Marks ผู้จัดการกองทุน Oaktree Capital Management ฟันธงช่วงจังหวะในการเก็บหุ้นที่ดี มีมักจะเป็นช่วงที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้ายๆ

881

#ลงทุนนอกโลก โดยเพจ #ถามอีกกับอิก

 

วันก่อนผมฟังไอเดียของคุณ Howard Marks อภิมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่ง 6.6 หมื่นล้านบาท และบริหารสินทรัพย์ของลูกค้ามูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท

 

เหมาะมากสำหรับผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเราสามารถเรียนรู้ได้ เลยอยากมาแชร์ให้ฟังครับ

 

==========

 

“คนเรามักจะมีอคติกับข้อมูลที่เราได้รับ”

 

1. ยกตัวอย่างเรื่องไวรัสก็ได้ครับจะได้เห็นภาพชัด ๆ

 

“ถ้าคุณอ่านเฉพาะบทความ หรือข่าวที่เป็นในแง่บวก” คุณก็คงจะคิดว่าในท้ายที่สุด ไวรัสก็ต้องถูกกำจัดไป และเศรษฐกิจก็จะฟื้นกลับขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง

 

แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณเป็นคนที่อ่านเฉพาะข่าวร้าย เห็นแต่ข่าวลบๆ เราก็คงจะคิดว่าในท้ายที่สุด เราเนี่ยแหละที่จะเสร็จเจ้าไวรัสตัวร้าย

 

2. อันนี้ผมว่าจริงเลยครับ และคิดว่าเป็นกับทุกๆเรื่องเลยนะครับ ไม่ใช่เรื่องไวรัส

 

3. ข้อแตกต่างระหว่าง คนที่มีมุมมองบวกและมีมุมมองลบ ส่วนใหญ่จะมาจากธรรมชาติของคนนั้น ๆ ว่าเป็นคนยังไง (เคยผ่านอะไรมาในชีวิต) และข้อมูลแบบไหนที่เราเลือกจะเสพ และเลือกที่จะให้น้ำหนักมากกว่า

 

4. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตมันจะประกอบไปด้วยหลายปัจจัยครับ

 

และมันไม่ใช่การเอาปัจจัยบวกมารวมกับปัจจัยลบ แล้วจะรู้ผลลัพธ์ว่าเหตุการณ์จะดีหรือไม่ดีในอนาคต

 

แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือต้องรู้ว่าปัจจัยไหนที่มีอิทธิพลมากที่สุด ปัจจัยไหนที่สำคัญที่สุดต่างหาก

 

5. และนั่นจะเป็นส่ิงที่ทำให้คนมีมุมมองที่แตกต่างกันครับ คนที่มองโลกในแง่ดีก็จะเชียร์จากข้อมูลบวกเท่านั้น ส่วนคนที่มองโลกในแง่ร้ายก็มักจะเลือกที่จะมองแต่ข้อมูลเชิงลบ

 

แม้ว่าจะได้ข้อมูลชุดเดียวกัน แต่เรามักจะมองสิ่งที่สำคัญที่สุดในมุมที่ต่างกันนั่นเองครับ

 

==========

 

ตลาดหุ้นถึงจุดต่ำสุดหรือยัง? คำถามสุดจะคลาสสิค

 

1. จุดต่ำสุด คือวันที่วันถัดไป หุ้นจะเด้งขึ้น” เป็นคำตอบกวน ๆ แต่จริง ๆ แล้วแกพยายามอธิบายว่า

 

ก่อนอื่นต้องทำความเช้าใจก่อนว่าไม่มีใครที่สามารถบอกได้ว่าจุดต่ำสุดของรอบนั้น ๆ จะอยู่ที่ตรงไหน

 

2. สิ่งที่ Oaktree ทำ คือ จะซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อเห็นว่าหุ้นที่มีคุณภาพดี ร่วงลงมา จนมีราคาถูกครับ

 

และบทเรียนที่สำคัญคือ “แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ตรงไหน แต่การที่เข้าใจว่าสถานการณ์แบบไหนที่ทำให้ราคาหุ้นมีราคาถูกต่างหากละ ที่มีความสำคัญมาก ๆ”

 

3. การที่เราเห็นราคาหุ้นตกลงมาและมีแรงขายออกมามากมาย เพราะฉะนั้นคุณ Marks จึงมองว่าเหมาะมากสำหรับการลงทุน แม้ว่าจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดก็ตามครับ

 

4.ไม่มีใครเถียงว่า คุณควรจะจัดหนักจัดเต็มซื้อหุ้นวันนี้หรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครเถียงว่าคุณว่า คุณไม่ควรจะเริ่มลงทุนวันนี้เสียเลย

 

==========

 

ถึงเวลาซื้อแล้วหรือยัง?

 

1. มีคนถามคำถามนี้เยอะมากๆครับ ว่าถึงเวลาในการซื้อสะสมหุ้นแล้วหรือยัง

 

2. คำตอบของผมคือ ใช่ครับ มันเป็นจังหวะในการซื้อหุ้น” สิ่งที่บอกได้แน่ ๆ คือ ตอนนี้ราคาหุ้นวันนี้ต่ำกว่าเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว

 

3. คุณ Howard Marks มองว่ามันเป็นจังหวะที่โอเค ที่จะซื้อหุ้นบ้างบางส่วน เพราะตอนนี้ราคาหุ้นถูกลงมากแล้ว

 

4. แต่ก็ไม่ควรที่จะจัดหนักจัดเต็ม ขายบ้านขายรถ แล้วทุ่มซื้อหุ้นหมดตัวนะครับ

 

5. หุ้นอาจจะฟื้นตัวแรงและวิ่งฉิว และคุณก็คงรู้สึกดีใจที่ได้ซื้อหุ้นบางส่วน” แต่! หุ้นเองก็อาจจะร่วงลงต่อได้อีก

 

และถ้าคุณยังมีเงินเหลืออยู่ก็คงจะเป็นจังหวะในการซื้อเพิ่มเติม

 

6. สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องเตรียมความพร้อมรับมือและลงทุนให้ได้ประโยชน์จากการที่ตลาดร่วงลงหนักครับ แต่ไม่ใช่การทุ่มลงทุนสุดตัว หรือการขายล้างพอร์ต

 

7. ในโลกการลงทุนไม่มีความแน่นอนหรอกครับ โดยเฉพาะทุกวันนี้ ยิ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้นไปอีก

 

==========

 

สไตล์การลงทุนของ Oaktree เป็นแบบชาวสวนครับ

 

1. ก่อนหน้านี้หลายปี เป็นข่วงที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์ดีมาก ทุกอย่างดูสวยหรู แต่ Oaktree กลับเชื่อว่าราคาสินทรัพย์มีราคาแพง และมองว่ามีความเสี่ยงในการลงทุน

 

เพราะฉะนั้นทาง Oaktree ก็เลยลงทุนแบบระมัดระวังมาโดยตลอดครับ

 

2. คุณ Howard Marks ยังอ้างถึงคุณปู่บัฟเฟตต์ ที่บอกว่าคุณปู่ชอบแฮมเบอร์เกอร์ อย่างมาก

 

และเมื่อราคาแฮมเบอร์เกอร์ ลดลงมามาก เค้าก็จะกินแฮมเบอร์เกอร์ได้จำนวนมากขึ้น

 

3. “เวลาที่ดีที่สุดในการซื้อ จะมาตอนที่ไม่มีใครอยากจะซื้อ” และการที่คนไม่อยากซื้อหุ้นนี่แหละครับที่จะทำให้ราคาหุ้นถูกลง

 

4. แต่การที่คนอื่นไม่กล้าซื้อหุ้น ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตวิทยาของเราเหมือนกันครับ แต่คนที่เป็นนักลงทุนแบบชาวสวนต้องปล่อยวางความรุ้สึกเหล่านั้น และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ

 

5. “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนรอบใหญ่ มักจะเริ่มจากความไม่สบายอก สบายใจ” และตอนนี้สิ่งนึงที่ผมรู้คือ ตอนนี้มีความไม่สบายอก ไม่สบายใจในการลงทุนอย่างมาก

 

เพราะฉะนั้นเค้าเลยมองว่าเป็นจังหวะในการลงทุนครับ

 

==========

 

“หน้าที่ของผู้จัดการกองทุนคือการจัดพอร์ต” แต่นักลงทุนรายย่อยก็ควรทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน

 

1. คุณ Howard Marks มองว่าหน้าที่ที่สำคัญของผู้จัดการกองทุนในระยะกลาง ไม่ใช่การตัดสินใจว่าจะเอาเงินไปลงทุนในหุ้น หรือ พันธบัตรเท่าไหร่

 

ไม่ใช่การจัดพอร์ตว่าจะลงทุนในหุ้นสหรัฐหรือหุ้นต่างประเทศ

 

ไม่ใช่การจัดพอร์ตว่าจะลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วหรือตลาดกำลังพัฒนา

 

ไม่ใช่เลือกลงทุนในหุ้นใหญ่หรือหุ้นเล็ก, หุ้นมีคุณภาพหรือไม่มีคุณภาพ, หุ้นเติบโตหรือหุ้นคุณค่า

 

2. แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือ การสร้างความสมดุลระหว่างกลยุทธ์เชิงรุก หรือกลยุทธ์เชิงรับ ต่างหากครับ

 

“ถ้าคุณมองออกว่าช่วงไหนควรใช้กลยุทธ์แบบไหน ก็จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวครับ”

 

3. คำแนะนำคือ การลองชั่งน้ำหนัก กับความเสี่ยงที่ เรียกเล่น ๆ ว่าเป็นความเสี่ยงฝาแฝดกัน

 

คือหนึ่ง ความเสี่ยงที่เราจะเสียตัง กับความเสี่ยงที่จะพลาดโอกาสดี ๆ ไป (ตกรถว่างั้นเถือครับ)

 

4. การที่คุณลดความเสี่ยงอันหนึ่งลงไป จะทำให้คุณมีความเสี่ยงอีกด้านในทันทีครับ

 

5. เมื่อไหร่ก็ตามที่ทุกอย่างเป็นใจ, แนวโน้มกำไรดี, ราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบกับพื้นฐาน : กรณีนี้นักลงทุนก็ควรจะใช้กลยุทธ์แบบเชิงรุก

 

แต่ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวัง, กำไรของบริษัทจดทะเบียนกำลังจะถูกบั่นทอนไป และ valuation สูง : กรณีนี้นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์แบบตั้งรับ

 

6. คุณ Marks มองว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโลกการลงทุนมีสถานการณ์ที่ไม่ปกติครับ

 

ทั้งความไม่แน่นอนมากกว่าปกติ, ให้ผลตอบแทนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบสุด ๆ, ราคาสินทรัพย์มีราคาแพง และ นักลงทุนยอมเสี่ยงเพื่อที่จะคาดหวังว่าอยากได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น

 

7. ปกติแล้ว Oaktree จะลงทุนแบบเต็มเหนี่ยวอยู่แล้วครับ แต่ก็ลงทุนแบบระมัดระวัง โดยเลือกที่จะจัดพอร์ตเป็นแบบตั้งรับทำให้ผลตอบแทนในบางปีอาจจะไม่ได้สวยมากนัก

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเอาตัวรอดไ้ด้จากภาวะที่ตลาดหุ้นร่วงหนักครับ

 

==========

 

“สถานการณ์ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไปจากเมื่อ 2-24 เดือนที่แล้ว”

 

1.ตอนนี้ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้รับรู้ และทุกคนเข้าใจความเสี่ยงแล้วครับ (ที่เกิดจากโควิด-19)

 

2.ความคาดหวังผลตอบแทนได้เปลี่ยนจากเล็กน้อย กลายเป็นตอนนี้น่าดึงดูดมากขึ้น (สังเกตจากผลตอบแทนผลตอบแทนพันธบัตร หรือกลุ่มพลังงานเองก็ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจจาก 3.5% เป็นเกือบ 9% ครับ)

 

3. ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็เริ่มเข็ด เริ่มไม่บู๊ ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเท่าไหร่แล้ว

 

4. แต่คุณ Howard Marks ก็บอกแหละครับว่าพื้นฐานของหุ้นพังก็จริง และมีโอกาสพังไปมากกว่านี้ด้วย

 

และเชื้อโรคมันก็จะยังเป็นต้นเหตุของความเสี่ยง

 

5. แต่อย่าลืมว่า มันมีความแตกต่างมาก ๆ ระหว่างตลาดที่ไม่มีใครเห็นข้อผิดพลาด กับตลาดที่มีคนล้มเลิกไม่อยากลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงแล้ว

 

6. แน่นอนว่านักลงทุนที่ระมัดระวังในการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็จะขาดทุนน้อยกว่าและพอใจเมื่อเทียบกับผลตอบแทนคนอื่น

 

และจะมีเวลาในการมองหาหุ้นดีที่มีราคาถูก เพราะฉะนั้นจึงมองว่านักลงทุนที่เคยระมัดระวังการลงทุนควรปรับมุมมอง ให้เป็นกลางหรือควรกล้าที่จะลงทุน และปรับโหมดเป็นเชิงรุกซึ่งขึ้นอยู่กับว่า ตัวเค้ามั่นใจแค่ไหน ที่ต้องการอยากจะคว้าโอกาสในการลงทุนในรอบนั้น ๆ

 

7. แต่เค้ายืนยันนะครับว่า ไม่ได้มองว่าแนวโน้มจะดีนะ แต่แค่บอกว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ควรเปิดเกมรุกได้แล้ว

 

8. ในเมื่อคุณคาดหวังว่าจะเห็นข่าวร้ายมากขึ้น และรู้สึกว่าตลาดหุ้นจะร่วงลงต่อ

 

คำถามคือ มันเร็วเกินไปที่จะเริ่มซื้อหรือไม่ หรือ ควรจะรอให้ถึงจุดต่ำสุดก่อนแล้วค่อยซื้อ

 

แต่ชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน หรือจริงๆแล้วเราอาจจะผ่านพื้นจุดต่ำสุดไปแล้วก็เป็นได้ ใครจะไปรู้

 

==========

 

“ข้อคิดสำหรับคนที่อยากซื้อหุ้น ณ จุดต่ำสุด”

 

  1. บางคนก็อาจจะบอกว่า ฉันจะยังไม่ซื้อหุ้นจนกว่าจะเห็นจุดต่ำสุด และตลาดเริ่มกลับตัวเป็นขาขึ้น

 

นั่นหมายความว่าคุณตั้งใจอยากจะพลาดจุดต่ำสุด

 

2. นอกจากนี้ตลาดจะฟื้นตัวขึ้นก็ต่อเมื่อแรงขายลดลง และ มีแรงซื้อเข้ามาซึ่งจะช่วยกันผลักดันให้ตลาดเป็นขาขึ้นได้

 

เพราะฉะนั้นนักลงทุนที่ต้องการอยากจะซื้อ ควรจะซื้อช่วงที่ตลาดร่วงลงมา เพราะนั่นเป็นช่วงที่คนขายรู้สึกอยากขายแบบด่วน ๆ

 

3. “การที่มัวแต่รอซื้อที่จุดต่ำสุด จะทำให้เราพลาดโอกาสในการซื้อที่ดี” เป้าหมายของนักลงทุนควรจะเป็นการซื้อหุ้นที่มีคุณภาพดีบ่อยๆ (แต่ไม่จำเป็นต้องเป็น ณ จุดต่ำสุด)

 

ไม่ใช่การซื้อหุ้นที่สมบูรณ์แบบ (ซื้อ ณ จุดต่ำสุด) เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง

 

4.ข่าวร้าย ๆ จะทำให้เราทำใจลำบากในการที่จะเข้าซื้อหุ้น เพราะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นกำลังพัง

 

และหลายคนก็จะบอกว่า ผมจะไม่มีวันที่จะเอามือไปรับมีดที่กำลังร่วงลงมา

 

5. ตามสถิตินับตั้งแต่ 1950 มีเหตุการณ์ที่ตลาดเกิดภาวะตลาดหมี 15 ครั้ง มีไม่กี่ครั้งที่ตลาดร่วงต่อในช่วง 3 เดือน

 

พูดง่าย ๆ คือ ส่วนใหญ่มักจะฟื้นขึ้นมาได้ภายใน 3 เดือนหลังร่วงหนักๆ

 

6. เช่นในช่วง เดือน 1 กันยายน ปี 2000-4 เม.ย. ปี 2001 ตอนนั้นตลาดร่วงหนัก 27% แต่หลังจากนั้น ช่วง 4 เม.ย. 2001 – 21 พ.ค. 2001 ตลาดฟื้นแรง 19%

 

ส่วนช่วง 21 พ.ค. 2001 – 21 ก.ย.2001 ตลาดร่วง 26% และฟื้น 21 ก.ย. 2001 – 19 มี.ค. 2002 ตลาดก็ฟื้น 22%

 

ส่วน 19 มี.ค. 2002 – 9 ก.ย. 2002 ตลาดร่วง 33%

 

ส่วน 9 ตค. 2007-10 มี.ค. 2008 ตลาดร่วง 18% ก่อนที่จะฟื้นในช่วง 10 มี.ค. 2008 – 19 พ.ค. 2008 ฟื้น 12%

 

ในขณะที่ช่วง 19 พ.ค. 2008 – 20 พ.ย. 2008 ร่วงหนัก 47% ก่อนที่จะฟื้น 20 พ.ย. 2008 – 6 ม.ค. 2009 ฟื้น 25%

 

และร่วง 6 ม.ค. 2009 – 9 มี.ค. 2009 ร่วง 27%

 

7. ข้อสังเกตคือทุกรอบที่ตลาดขึ้นหรือลง มันจะเป็นช่วงที่มีการชักเย่อไป ชักเย่อกันมา ระหว่างแรงซื้อและแรงขาย

 

8. เพราะฉะนั้นสรุปคือ ตลาดหุ้นมีโอกาสร่วงหนักไปอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า

 

และตอนนี้ Oaktree เริ่มซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อ เจอหุ้นที่ดี และราคาร่วงลงมาอยู่ในจุด ที่มีราคาเหมาะสม

 

========

 

แสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ ถ้าชื่นชอบ #ลงทุนนอกโลก โดย เพจ #ถามอีกกับอิก ฝากแชร์ด้วยนะค้าบ 

 

========

 

เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต

 

อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย

 

ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน Line@: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE
คลิกเลย

TAM-EIG

TAM-EIG

881

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
error: Content is protected !!