คุณเอม มทินา วัชรวราทร CFA, Head of Investment Strategy, BBLAM ได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ระหว่างประเทศรัสเซียกับยูเครนเอาไว้ว่า ตลาดหุ้นโดยรวมมีการปรับตัวลดลงก่อนที่จะเกิดวิกฤตความขัดแย้งและจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนที่สงครามจะจบลง อย่างเช่นราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น ความขัดแย้งในทางภูมิศาสตร์นั้น ตลาดโดยรวมไม่ได้มีการปรับตัวลดลงมาก คาดว่ามากที่สุดจะมีการปรับตัวลดลง 10 % และตลาดจะมีการฟื้นตัว 1 เดือน ซึ่งสถานการณ์ในเวลานี้นักลงทุนจะเริ่มให้น้ำหนักการลงทุน Safe-Haven มากขึ้น
สำหรับราคาพลังงานนั้น จะต้องขอหยิบยกคำพูดของ Nathan Meyer Rothchild ที่ได้กล่าวว่า “ซื้อเวลาที่เสียงปืนดัง ขายที่ทุกอย่างจบลงแล้ว” และขอหยิบยกแนวคิดของ Warren Buffett ที่ได้เขียนไปยังผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับแนวทางการซื้อหุ้นในช่วงปี 1977 เอาไว้ว่า 1.เข้าใจในธุรกิจ 2.มีการเติบโตระยะยาว 3.มีธรรมาภิบาลและ 4.มีราคาที่น่าสนใจ ซึ่งเวลานี้คาดได้ว่าสถานการณ์นี้จะเป็นปัจจัยระยะยาว และจากนั้นผู้คนก็จะหันกลับมาสนใจภาวะเงินเฟ้อและผลประกอบการของบริษัทอีกครั้ง
หุ้นในประเทศจีนเป็นหุ้นที่กำลังเติบโตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นนวัตกรรมกับหุ้นเทคโนโลยีที่มีความล้ำหน้ามาก แนะว่าไม่ควรที่จะถอยหนีออกจากหุ้นจีน จะต้องจัดพอร์ตการลงทุนโดยที่มีหุ้นจีนผสมอยู่ด้วย และเป้าหมายของรัฐบาลจีนนั้น จะมีการพัฒนาประเทศจีนให้มีความทันสมัยมากขึ้น และตั้งเป้าหมายให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศสหรัฐอเมริกา
เช่นเดียวกับหุ้นในอเมริกา จะต้องยอมรับว่า ประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือต่าง ๆ ทางด้านการเงิน ปีนี้เป็นปีแรกที่ FED จะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและลด QE ไปพร้อม ๆ กัน นอกจากต้นทุนทางการเงินจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว สภาพคล่องในตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาก็จะค่อย ๆ ลดลงตามมา ทำให้บางฝ่ายมองว่า งานเลี้ยงเริ่มจบลงแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เห็นว่า มีหุ้นตัวไหนที่อยู่รอดและยืนอยู่ได้อย่างสง่างามบ้าง เมื่อมาดูดัชนี S&P 500 แล้วนั้น จะเห็นได้ว่า มีเพียงปีเดียวเท่านั้นที่ดัชนีให้ผลตอบแทนเป็นลบในช่วงที่ FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นไม่ได้มีผลกระทบต่อกำไรในตลาดหุ้น กำไรของตลาดหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้พร้อมกับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น
การจัดพอร์ตการลงทุนในเวลานี้ แนะว่าควรที่จะมีหุ้นเอเชียกับหุ้นจีน โดยหุ้นจีนควรมีอยู่ในสัดส่วนของพอร์ตไม่ต่ำกว่า 15 %, หุ้นเอเชียอยู่ในพอร์ตไม่น้อยกว่า 5 % ซึ่งหุ้นในเอเชียเวลานี้ไม่มีอาการเจ็บป่วยหรือจุดอ่อนให้เราต้องกังวล ในขณะที่ทั้งโลกกำลังเปิดเมือง คาดว่าประเทศในเอเชียมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ดีและต่อเนื่อง มีภาวะเงินเฟ้อไม่สูงมาก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่า FED จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น หุ้นในเอเชียยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ และยังคงมีมูลค่าที่น่าสนใจต่อการเข้าไปซื้อ