จับโอกาส ไปกับ 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

470

อย่าลืม Subcribe จะได้ไม่พลาด

Facebook | Youtube | Line | Website

*สัมภาษณ์ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565

คุณเอม มทินา วัชรวราทร CFA, Head of Investment Strategy, BBLAM ได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ระหว่างประเทศรัสเซียกับยูเครนเอาไว้ว่า ตลาดหุ้นโดยรวมมีการปรับตัวลดลงก่อนที่จะเกิดวิกฤตความขัดแย้งและจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนที่สงครามจะจบลง อย่างเช่นราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น ความขัดแย้งในทางภูมิศาสตร์นั้น ตลาดโดยรวมไม่ได้มีการปรับตัวลดลงมาก คาดว่ามากที่สุดจะมีการปรับตัวลดลง 10 % และตลาดจะมีการฟื้นตัว 1 เดือน ซึ่งสถานการณ์ในเวลานี้นักลงทุนจะเริ่มให้น้ำหนักการลงทุน Safe-Haven มากขึ้น

สำหรับราคาพลังงานนั้น จะต้องขอหยิบยกคำพูดของ Nathan Meyer Rothchild ที่ได้กล่าวว่า “ซื้อเวลาที่เสียงปืนดัง ขายที่ทุกอย่างจบลงแล้ว” และขอหยิบยกแนวคิดของ Warren Buffett ที่ได้เขียนไปยังผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับแนวทางการซื้อหุ้นในช่วงปี 1977 เอาไว้ว่า 1.เข้าใจในธุรกิจ 2.มีการเติบโตระยะยาว 3.มีธรรมาภิบาลและ 4.มีราคาที่น่าสนใจ ซึ่งเวลานี้คาดได้ว่าสถานการณ์นี้จะเป็นปัจจัยระยะยาว และจากนั้นผู้คนก็จะหันกลับมาสนใจภาวะเงินเฟ้อและผลประกอบการของบริษัทอีกครั้ง 

หุ้นในประเทศจีนเป็นหุ้นที่กำลังเติบโตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นนวัตกรรมกับหุ้นเทคโนโลยีที่มีความล้ำหน้ามาก แนะว่าไม่ควรที่จะถอยหนีออกจากหุ้นจีน จะต้องจัดพอร์ตการลงทุนโดยที่มีหุ้นจีนผสมอยู่ด้วย และเป้าหมายของรัฐบาลจีนนั้น จะมีการพัฒนาประเทศจีนให้มีความทันสมัยมากขึ้น และตั้งเป้าหมายให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศสหรัฐอเมริกา 

เช่นเดียวกับหุ้นในอเมริกา จะต้องยอมรับว่า ประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือต่าง ๆ ทางด้านการเงิน ปีนี้เป็นปีแรกที่ FED จะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและลด QE ไปพร้อม ๆ กัน นอกจากต้นทุนทางการเงินจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว สภาพคล่องในตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาก็จะค่อย ๆ ลดลงตามมา ทำให้บางฝ่ายมองว่า งานเลี้ยงเริ่มจบลงแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เห็นว่า มีหุ้นตัวไหนที่อยู่รอดและยืนอยู่ได้อย่างสง่างามบ้าง เมื่อมาดูดัชนี S&P 500 แล้วนั้น จะเห็นได้ว่า มีเพียงปีเดียวเท่านั้นที่ดัชนีให้ผลตอบแทนเป็นลบในช่วงที่ FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นไม่ได้มีผลกระทบต่อกำไรในตลาดหุ้น กำไรของตลาดหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้พร้อมกับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น 

การจัดพอร์ตการลงทุนในเวลานี้ แนะว่าควรที่จะมีหุ้นเอเชียกับหุ้นจีน โดยหุ้นจีนควรมีอยู่ในสัดส่วนของพอร์ตไม่ต่ำกว่า 15 %, หุ้นเอเชียอยู่ในพอร์ตไม่น้อยกว่า 5 % ซึ่งหุ้นในเอเชียเวลานี้ไม่มีอาการเจ็บป่วยหรือจุดอ่อนให้เราต้องกังวล ในขณะที่ทั้งโลกกำลังเปิดเมือง คาดว่าประเทศในเอเชียมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ดีและต่อเนื่อง มีภาวะเงินเฟ้อไม่สูงมาก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่า FED จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น หุ้นในเอเชียยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ และยังคงมีมูลค่าที่น่าสนใจต่อการเข้าไปซื้อ

#ถามทันที | จับโอกาส ไปกับ 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

ถามอีก กับ คุณเอม มทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy, BBLAM

โดย อิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข, AFPT

คุยอะไรกันบ้าง?

1:04 ปูตินเปิดศึก ตลาดตกใจมากเกินไป?

5:37 ราคาพลังงาน

10:11 แนะนำหนังสือ The Changing World Order โดย Ray Dalio

28:16 หุ้นจีน

36:05 หุ้นอเมริกา

43:40 เอเชียและจีน

50:10 กองทุน B-ASIA

53:54 จัดพอร์ตอย่างไรดี

57:18 การจัดระเบียบในจีน และนโยบาย Zero-Covid

1:02:16 หุ้นเวียดนามยังน่าลงทุน?

1:05:00 ทิ้งท้าย

#TamEigPodcast ฟังแบบเนื้อ ๆ ไม่มีเม้นท์ ได้ที่ Podcast

ถามอีกกับอิก TE 442 | จับโอกาส ไปกับ 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

ถ้ามีประโยชน์และชื่นชอบ อย่าลืม subscribe และให้ดาวนะคร้าบ

คลิกเพื่อฟังทาง Apple podcast

คลิกเพื่อฟังทาง Soundcloud

คลิกเพื่อฟังทาง Spotify

คลิกเพื่อฟังทาง Google podcast

Picture of TAM-EIG

TAM-EIG

470

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
error: Content is protected !!