“หยวนต้า” สร้างปรากฏการณ์ Wealth แบบไร้ขีดจำกัด

1575

“ที่ผ่านมาเราเห็นนักลงทุนโฟกัสลงทุนเป็นชิ้นๆสนใจลงทุนสินทรัพย์ประเภทไหนก็จะลงทุนแต่ประเภทนั้น อย่างเดียว”

 

นี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวครับ

 

วันนี้ผมสรุปที่ผมได้คุยกับผู้บริหาร และนักวิเคราะห์จาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัดจาก LIVE ที่งาน SET in the city 2019 ที่ผ่านมาให้ได้อ่านกันครับ (ดูคลิป Live เต็ม ๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/Tam.eig/videos/2448257568756624?vh=e&d=n&sfns=mo)

 

มาดูกันว่า ปรากฏการณ์ Wealth แบบไร้ขีดจำกัด ที่จะช่วยให้นักลงทุนมีเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ ได้อย่างมีความสุขเป็นยังไง? ปี 2020 หุ้นไทยจะยังไปต่อหรือไม่?

 

ไปอ่านกันเลยครับ
#SETintheCity2019 #YuantaWealth #ใครไม่เวลธ์หยวนต้าเวลธ์ #ถามอีกกับอิก

 

 

“นักลงทุนที่สนใจในหุ้น ก็ลงทุนแต่หุ้นนักลงทุนที่สนใจลงทุนในพันธบัตร ก็ลงเฉพาะพันธบัตร”

 

ดร.ธัชกร เตียตระกูล หรือ ดร.เชน ผู้เชี่ยวชาญหนุ่มหล่อ จากค่ายหยวนต้า (หนึ่งในผู้นำที่ปรึกษาการลงทุนครบวงจรของไทย) ขยายความให้ผมฟังเพิ่มเติม ถึงเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยขาดทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน โดยเฉพาะในปีนี้ที่โหดสุด ๆ ครับ

 

ถามว่าพอจะมีทางออกไหม? ดร.เชน ตอบทันทีเลยครับว่า มีครับ ด้วยกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงลงทุนหลายสินทรัพย์ และเน้นลงทุนระยะยาวมากขึ้น

 

“เหตุผลคือ จะช่วยชดเชยความเสี่ยงในภาพรวมของพอร์ต” นี่เลยเป็นที่มาของ “Yuanta Private Wealth Management Service”

 

เป็นบริการช่วยบริหารสินทรัพย์ของลูกค้าแบบครบวงจร ดร.เชน เล่าให้ผมฟังอย่างภาคภูมิใจครับ

 

หลัก ๆ แล้ว จะเน้นการจัดพอร์ตลงทุนในหลายสินทรัพย์ให้ตรงกับเป้าหมาย ความเสี่ยง และวัตถุประสงค์ในการลงทุน

 

โดยผลิตภัณฑ์จะครอบคลุมตั้งแต่ สินทรัพย์เทียบเท่ากับเงินฝาก, ตราสารหนี้ไทย-ต่างประเทศ, หุ้นไทย-ต่างประเทศ เป็นต้นครับ

 

“หยวนต้าจะเน้น ให้บริการลูกค้าในทุกกลุ่ม Segment ไม่ได้เน้นให้บริการเฉพาะรายใหญ่อย่างเดียวครับ”

 

 

“ก่อนที่จะให้ลูกค้าเริ่มลงทุน เราจะถามก่อนว่าวัตถุประสงค์คืออะไร” “มีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน”

 

หลังจากนั้นทีมงานของดร.เชน จะถามความคาดหวังในการลงทุน, ระยะเวลาในการลงทุน, มีความต้องการสภาพคล่องระหว่างทางไหม

 

“เหตุผลที่ต้องถามรายละเอียด เพราะจะประมวลผล ตีค่าเป็นความสามารถในการรับความเสี่ยง” ดร.อธิบายครับ

 

อืมม… เท่าที่ผมคุยกับ ดร.เชน จะเห็นว่า หยวนต้าให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงมากเลยครับ เพราะมองว่านี่คือสิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับการลงทุนระยะยาว

 

เบื้องต้นจะแบ่งเป็น 3 พอร์ต ตามความคาดหวังผลตอบแทนและความเสี่ยงที่รับได้ต่างกัน

 

1. พอร์ตมั่นคงเป็นพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ

 

2. พอร์ตยั่งยืน เป็นพอร์ตที่รับความเสี่ยงปานกลาง

 

3. พอร์ตมั่งคั่ง เป็นพอร์ตที่รับความเสี่ยงสูง

 

 

ยกตัวอย่าง การลงทุนของ พอร์ตมั่นคง (พอร์ตที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ)

 

หลักๆจะแบ่งเป็นการลงทุนใน Money market ประมาณ 20%, ตราสารหนี้ 70%, หุ้นสัดส่วน 5-6 % และการลงทุนทางเลือก (กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน, REITs, ทองคำ, น้ำมัน) 4%

 

เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความหวือหวา ให้ผลตอบแทนที่คาดหวัง 4%

 

============

 

ถัดมาเป็นพอร์ตยั่งยืน เป็นพอร์ตที่รับความเสี่ยงปานกลาง

 

จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมากขึ้นเป็น 30%, Money market เหลือ 9%, พันธบัตรลดเหลือ 50% ในขณะที่สินทรัพย์ทางเลือกเพิ่มขึ้นเป็น 11%

 

“จัดพอร์ตค่อนข้างสมดุลระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัย เหมาะกับผู้ที่รับความผันผวนของราคาหุ้นได้ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนคาดหวังตามเป้าหมาย” คาดหวังผลตอบแทนประมาณ 6.86%

 

============

 

ส่วนพอร์ตสุดท้าย คือพอร์ตความเสี่ยงสูง หรือพอร์ตมั่งคั่ง

 

เน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (หุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ) คาดหวังการเติบโต ยอมรับความเสี่ยงได้มากเพื่อเพิ่มโอกาสการได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น

 

หลักๆแล้วเน้นการลงทุนใน หุ้นสูงถึง 60%, รองลงมาคือสินทรัพย์ทางเลือก 28.6% และตราสารหนี้ 11.4%

 

 

ดร.เชนเล่าต่อว่า หลังจากที่จัดพอร์ตได้ตามความเสี่ยงแล้ว ทางหยวนต้า จะเลือกกองทุน หรือสินทรัพย์ที่ลงทุนที่ดีที่สุดในประเภทนั้น ๆ ทำให้นักลงทุนประหยัดเวลา และมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดตามความสามารถรับความเสี่ยงของแต่ละคน

 

เบื้องต้นดร.เชน จะอธิบายผลตอบแทนที่คาดหวังจากพอร์ตด้วยครับ เช่น ถ้าเป็นพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางก็จะให้ผลตอบแทนประมาณ 6-6.5%

 

“แต่เราจะบอกลูกค้าว่า พอร์ตนี้จะไม่เป็นบวกเสมอไปและในปีที่แย่ที่สุดอาจจะลดลงไปมากถึง 13%” ถ้าลูกค้าเข้าใจและรับความเสี่ยงได้ ก็จะแนะนำให้ลงทุนได้ แต่ถ้ารับไม่ได้ก็จะแนะนำให้ปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนลดลงตามความเสี่ยงที่รับได้ครับ

 

 

“1,600 จุดคือแนวรับสำคัญ ที่อาจจะมีบางช่วงที่ตลาดหุ้นร่วงแฉลบลงมาบ้าง” พี่อ้วน คุณณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) นักวิเคราะห์พ่อลูกอ่อนขวัญใจมหาชนฟันธงกับผมครับ

 

พี่อ้วนอธิบายว่าการตลาดหุ้นอ่อนไหว มีแรงเทขายเป็นระยะ ๆ ซึ่งมีหลายเหตุผลที่อธิบายได้ครับ

 

1. “บริษัทจดทะเบียนบางบริษัทประกาศผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาดเช่น True , CK” ทำให้นักลงทุนบางส่วนมองว่าไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และไตรมาส 1 ปีหน้า หุ้นพวกนี้จะยังไม่ฟื้นก็เลยเทขายออกมาก่อน

 

2. หุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ เช่น โรงไฟฟ้า, REITs, หุ้นปันผลถูกเทขายออกมา หลังจากที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 1.4% เป็น 1.7%

 

 

พี่อ้วนพูดอย่างอารมณ์ดีว่า ตลาดหุ้นไทยยังได้สิทธิไปต่อได้ในปีหน้าด้วย 3 ปัจจัยหลัก ๆ ครับ

 

มาดูประเด็นแรกกันครับ “กำไรบริษัทจดทะเบียน”

 

นักวิเคราะห์พ่อลูกอ่อนฟันธงว่า ปีนี้กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่ค่อยดีแล้ว เพราะในช่วงปลายปีปกติแล้วจะเป็นช่วงที่่ค่าใช้จ่ายเยอะ

 

“ปีนี้ กำไรต่อหุ้น ของตลาด SET น่าจะจบที่ 99 บาท ส่วนปีหน้าคาดไว้ 105 บาท” แสดงว่า หยวนต้ามองว่าตลาดหุ้นมีกำไรเพิ่มขึ้นเกือบ ๆ 6% ครับ

 

พี่อ้วนตั้งข้อสังเกตว่า ปีนี้ประเทศไทยมีตัวเลข GDP ต่ำกว่า 3% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทำให้เม็ดเงินการลงทุนต่างชาติไม่ไหลเข้า “ปีนี้เจอมรสุมหลายอย่าง เช่น การชะลอตัวของการส่งออก และเงินบาทแข็งค่า ทำให้เศรษฐกิจมีฐานที่ต่ำ”

 

พี่อ้วนแนะนำให้ รอดูงบประมาณปี 2563 ซึ่งคาดว่า ไตรมาส 2 ปีหน้าจะเห็นการใช้งบประมาณมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตดีขึ้นได้

 

=======

 

2. Valuation ของไทยไม่ถูก แต่ไม่แพงไป

 

“ตอนนี้ Valuation ของตลาดหุ้นอยู่ตรงไหน” พี่อ้วนตั้งคำถามกับผมครับ คำตอบคืออยู่ที่ประมาณ 15 เท่า ถ้าอ้างอิงกำไรอยู่ที่ 105 บาทต่อหุ้น

 

ในขณะที่ตัวเลขค่าเฉลี่ยย้อนหลัง P/E 16 เท่าถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ดังนั้นจึงมองว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทย ไม่ได้มีราคาถูกแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้แพงจนเกินไปครับ

 

=======

 

3. สภาพคล่องในตลาดยังมีสูงมีโอกาสช่วยดันตลาดหุ้นไทย

 

พี่อ้วนมองว่า อัตราดอกเบี้ย 1.25% ไม่น่าจะต่ำกว่านี้ครับ โดยปัญหาสำคัญคือตอนนี้ต่างชาติไม่ซื้อหุ้นไทย

 

“แต่ถ้าไทยได้รับการจัดอันดับ เรตติ้ง ประเทศไทยดีขึ้นก็จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยได้”

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่พี่อ้วนแนะนำให้ติดตามคือ สงครามการค้าครับ “โดยมั่นใจว่าสงครามการค้ายืดเยื้อ ไม่จบแน่ๆ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งสหรัฐ” “ส่วนจีนจะใช้ไม้อึด” รอดูว่าการเลือกตั้งใครจะเป็นผู้ชนะ

 

พี่อ้วนตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ทั้งจีนและสหรัฐจัดหนักจัดเต็ม และเริ่มเห็นการผ่อนคลายมาบ้างแล้ว

 

คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นตัวเปิด Upside แต่ สภาพคล่องจะช่วยจำกัด Downside ให้

 

โดยพี่อ้วนฟันธงว่าเป้าของตลาดหุ้นในปีหน้าจะอยู่ที่ 1,700 จุดส่วนแนวรับจะอยู่ที่ 1,550 จุด เพราะฉะนั้นมองว่าถ้าตลาดหุ้นไทยอยู่ในโซน 1,580 – 1,600 ก็จะเป็นจังหวะที่น่าเข้าซื้ออีกรอบครับ

 

 

“กลุ่มแรกที่มีโอกาสน่าลงทุนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์”

 

เหตุผลแรกคือ มีราคาถูกครับ ซึ่งรับรู้ความเสี่ยงจากเรื่องที่อาจจะถูก Disrupt จากเทคโนโลยี (สังเกตจากค่า P/BV ที่ต่ำระดับช่วงวิกฤติ Subprime ละครับ)

 

นอกจากนี้ ปีหน้าธนาคารจะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจฟื้นตัวจากแนวโน้มปล่อยสินเชื่อที่จะสูงขึ้น และตอนนี้ผลตอบแทนพันธบัตรก็เริ่มฟื้นขึ้น ทำให้มองว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ครับ

 

========

 

กลุ่มถัดมา คือ กลุ่มค้าปลีกครับ

 

พี่อ้วน มองว่าหุ้นกลุ่มค้าปลีกจะได้แรงหนุนจากมาตรการการบริโภคจากภาครัฐ เช่น CPALL, Robinson ซึ่งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นยังไม่ไปไหนครับ

 

========

 

กลุ่มที่ 3 ที่น่าลงทุนคือกลุ่มท่องเที่ยวครับ

 

“ปีนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าแล้ว 10% ปีหน้ามีโอกาสแข็งค่าต่อก็จริงแต่ก็คงไม่มากกว่านี้แล้ว” และตอนนี้ก็เริ่มเห็นสัญญานที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาเที่ยวเมืองไทยแล้วและเป็นภาคธุรกิจที่ภาครัฐให้ความสำคัญเพราะฉะนั้นมั่นใจว่ามีโอกาสฟื้นตัวได้ โดยมีหุ้นที่ชอบคือหุ้น ERW ครับ

 

========

 

กลุ่มที่ 4 คือหุ้นกลุ่มสื่อสารครับ

 

“ปีนี้หุ้นกลุ่มสื่อสาร Outperform ได้แล้วปีนึง แต่มองว่ายังมีโอกาสไปต่อได้” เหตุผลคืองบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลเทไปยังกระทวงดิจิทัล เยอะมาก ในขณะเดียวกันการแข่งขันมีแนวโน้มน้อยลง และมีต้นทุนการลงทุน 5G น้อยกว่าคาด ทำให้พี่อ้วนชอบหุ้นADVANCE และ DTAC ครับ

 

========

 

ไม่ใช่แค่นี้ครับพี่อ้วนยังฝากทิ้งท้าย แนะนำให้ดูหุ้นขนาดกลาง ๆ อย่าง ZEN ที่เริ่มมีร้านอาหารในพอร์ตหลากหลายมากขึ้นและเกาะกระแสการเติบโตการส่งอาหารDelivery

 

“ผมชอบอีกตัวคือ โรงพยาบาลธนบุรี (THG)”“งบไตรมาส 3 ของกลุ่มโรงพยาบาลดีมาก ทำให้เห็นว่าโมเมนตัมเริ่มมาลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาลแล้ว”

 

และยังมีประเด็นเรื่องการปรับราคาประกันสังคมปีหน้า ทำให้กลุ่มนี้น่าสนใจ

 

 

ความเห็นของ ถามอีกกับอิก

 

“การไม่รู้คือความเสี่ยง” และการเน้นลงทุนแบบกระจุกตัวแค่สินทรัพย์ใด สินทรัพย์หนึ่งมากเกินไปก็เป็นความเสี่ยงเช่นกันครับ

 

นั่นเลยเป็นเหตุผล ที่ทางหยวนต้า จัดหนัก จัดเต็มกับ การปั้น“Yuanta Private Wealth Management Service” เพื่อตอบโจทย์การวางแผนความมั่งคั่ง วางแผนการเงินแบบครบวงจรไม่ได้เน้นลงทุนแค่หุ้นสร้างปรากฏการณ์ Wealth แบบไร้ขีดจำกัด ครับ

 

ไม่ใช่แค่นี้ครับ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ทางหยวนต้ายังได้ตั้งทีม Wealth Research ทำบทวิจัยเป็นรายสัปดาห์และรายเดือน เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดโลก ปัจจัยที่กระทบการลงทุน

 

“เพื่อปรับพอร์ตตามเป้าหมาย โดยเลือกสินทรัพย์และจัดสัดส่วนการลงทุนให้ ทำให้นักลงทุนเข้าใจการลงทุนได้ง่าย และสามารถลงทุนตามได้ง่ายและเหมาะกับความผันผวนในแต่ละช่วง”

 

เป็นอีกหนึ่งที่หยวนต้าปรับแนวคิดและให้ความสำคัญในเรื่องของการให้ข้อมูลที่ทันกับสถานการณ์ทีเปลี่ยนไป

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   Call Center  : 0 2009 8000

 

#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดี และมีอิสรภาพในการใช้ชีวิตครับ #ถามอีกกับอิก

Picture of TAM-EIG

TAM-EIG

1575

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
error: Content is protected !!