บทความ

#ข่าวเช้าตรู่ส่งถึงมือคุณ! โดยเพจ “ถามอีก กับอิก”

1155

1. ประธานเฟดเตือน นโยบายขาดดุลของรัฐบาลและนโยบายก่อหนี้เพิ่มขึ้นจะทำให้เป็นความเสี่ยงระยะยาว

“การปรับนโยบายให้เข้าสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืน ตอนช่วงเศรษฐกิจแข็งแรง จะช่วยให้ผู้บริหารนโยบายมีเครื่องมือในการใช้ช่วงเศรษฐกิจขาลง” คุณเจอโรม พาวเวล บอกเพิ่มเติม

จุดที่น่าสนใจคือ คุณพาวเวล ชี้ให้เห็นว่าในช่วงเศรษฐกิจถดถอยครั้งก่อน ๆ ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐสามารถช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ ด้วยการลดดอกเบี้ยแบบรัว ๆ

“ประเด็นที่รอบนี้อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะตอนนี้ไม่มีเครื่องมือเหลือในการรับมือกับช่วงเศรษฐกิจขาลงเลย” เหตุผลเพราะตอนนี้ธนาคารกลางสหรัฐลดดอกเบี้ย จนต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ (แต่ก็ย้ำว่าจะไม่ใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ)

นอกจากนี้ประธานเฟดยังเตือนว่า การที่รัฐบาลคุณทรัมป์ ก่อหนี้เพิ่มเติม 3 ล้านล้านเหรียญ นับตั้งแต่พี่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นผู้นำ ตรงนี้อาจจะเริ่มเป็นความเสี่ยง เพราะตอนนี้รัฐบาลเสนอเพิ่มกู้หนี้เพิ่มเติมอีก 5 ล้านล้านเหรียญ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า

“ถ้ารัฐบาลกู้หนี้ยืมสิน มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญจะเริ่มกระทบกับการลงทุนของภาคเอกชน”

แต่ข้อดีคือ คุณพาวเวล ฟันธงว่ายังไม่เห็นสัญญานของภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแรงดี และสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากมายในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

“แม้จะมองว่า โคโรนาไวรัส จะกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐบ้าง แต่ก็คิดว่าไม่มาก” แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าผลกระทบจะมากเท่าไหร่

คุณพาวเวล บอกว่าอีกปัญหาระยะยาวที่ต้องระวังคือ การเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของแรงงาน

========

2. Lyft ประกาศรายได้มากกว่าคาด แต่ยังขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 ด้าน ride sharing ในสหรัฐ (ใช้แอพเรียกแท็กซี่) มีรายได้ที่สวยงามครับ ประกาศไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 1.02 พันล้านเหรียญ และมีจำนวนใช้งานแบบขาประจำ เพิ่มขึ้นเป็น 22.9 ล้านคน มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ครับ

“ก่อนหน้านี้ Lyft คาดการณ์ว่าจะเริ่มเห็นตัวเลข EBITDA เป็นบวกได้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีหน้า” และตอนนี้กำลังเร่งพัฒนานวัตกรรม และใช้ประโยชน์จากทุกบาท ทุกสตางค์

ตอนนี้ Lyft มีรายได้ต่อผู้โดยสารประมาณ 44.40 เหรียญ แม้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังขาดทุน EBITDA สูงถึง 130 ล้านเหรียญในไตรมาสนี้ครับ

สิ่งที่นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นคือ เมื่อไหร่ Lyft และ uber จะทำกำไรสักที ซึ่งระยะยาวสิ่งที่ทั้งสองบริษัทขายฝันเอาไว้ คือ การพัฒนาต่อยอดรถยนต์ไร้คนขับ (ซึ่งไม่รู้ว่าจะเริ่มบริการเมื่อไหร่)

แต่ธุรกิจที่น่าจับตามองของ Lyft คือ ให้เช่ารถ โดยตอนนี้ให้บริการที่แคลิฟอร์เนีย และ LA ซึ่งทันทีที่เปิดตัวก็ทำให้คู่แข่งอย่าง Avis, Hertz หนาว ๆ ร้อน ๆ อยู่เหมือนกันครับ

========

3.จับตามองบริษัทอุปกรณ์กีฬา ชื่อดัง Under Armour หลังผลประกอบการขาดทุน ผิดความคาดหมาย

แต่จะว่าไปแม้ว่าจะผิดคาด แต่ก็สามารถทำรายได้สูงถึง 1.44 พันล้านเหรียญ จริง ๆ ก็ไม่น้อยเลยนะครับ เพียงแต่ Under Armour แบรนด์ขายเสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬาชื่อดัง ตอนนี้กำลังเจอศึกหนักหลายด้านครับ

ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากโคโรนา ที่ Under Armour มีสาขาในจีนมากถึง 600 สาชา “เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะสูญเสียรายได้ไปมากกว่า 50-60 ล้านเหรียญ”

นอกจากนี้ยังเจอการแข่งขันดุเดือดสุด ๆ จาก Adidas และ Nike ซึ่งเริ่มหันมาจับตลาด เสื้อผ้ากีฬาแบบแฟชั่นมากขึ้น ทำให้ Under Armour เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไป

ในขณะที่ทั้ง Adidas และ Nike เริ่มใช้กลยุทธ์ขายโดยตรงให้กับลูกค้าเลย ไม่ผ่านร้านค้าปลีก ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้สามารถทำราคาได้ถูกลง โดนใจลูกค้ามากขึ้น

ไม่ใช่แค่นี้ครับ ก่อนหน้านี้ Under Armour ใช้กลยุทธ์ลดราคาแหลกเลยครับ ทำให้อัตราทำกำไรลดลงอย่างหนัก แล้วพอจะกลับมาขายราคาเต็ม เลยทำให้ลูกค้าบางส่วนเองก็ไม่ค่อยอยากซื้อสินค้าราคาเต็ม รอว่าเมื่อไหร่ที่บริษัทจะลดราคาลงมา

รายได้ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 1.44 พันล้านเหรียญ โดยหลัก ๆ ยอดขายในอเมริกาเหนือลดลง 1.9% ในขณะที่ตลาดเอเชีย แปซิฟิกโตได้โดดเด่นมากครับ มากถึง 9.8%

แต่ก็ยังขาดทุน 15.3 ล้านเหรียญ ซึ่งแม้ว่าไม่ใช่งานง่ายครับที่ Unde Armour จะกล้บมาได้ แต่ก็เอาใจช่วยครับ

========

4. ธีมลงทุนที่พี่เซียนมี่ ชื่นชอบในปี 2563

วันก่อนผมมีโอกาสได้คุยกับ พี่มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ เลยอยากจะมาเล่าให้ฟัง

คลิกเลย 🙂

http://bit.ly/2SB3la7

========

5. มาอัพเดทตลาดกันหน่อยครับ

สหรัฐ ลบเล็กน้อย -0.48 จุด

เยอรมนี บวก 0.99%

ทองคำ 1571 เหรียญ ทรง ๆ