Site icon tam-eig.com

ทำไม ดร. นิเวศน์ ถึงซื้อหุ้น MC มูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท?

โดยถามอีก กับอิก

 

ในช่วงเช้าที่ผ่านมา มีประเด็นว่า คุณสุณี เสรีภาณุ นายใหญ่ แห่งค่ายเมคยีนส์ (MC) ขายหุ้นบิ๊กล็อต 10 ล้านหุ้นให้ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า (ราคาเฉลี่ย อยู่ที่ 7 บาท ต่อหุ้น)

 

โดยเป็นการขายตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2563 (ไม่ได้ซื้อขายวันนี้) ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 10 โดยทันที

 

มีหลายจุดที่น่าวิเคราะห์ เรียนรู้มากเลยครับ

 

====

 

MC ทำธุรกิจอะไร?

 

ถ้าพูดสั้น ๆ คือ บมจ.แม็คกรุ๊ป (MC) ทำธุรกิจค้าปลีกเครื่องแต่งกายและไลฟ์สไตล์ มีประสบการณ์สูงมากครับเพราะอยู่ในตลาดมานานนับตั้งแต่ปี 1975

 

ภายใต้แบรนด์มากมายทั้ง MC (สัดส่วนรายได้ 79.2%)

 

Mc Lady (6.7%)

 

McT (2.7%)

 

Mcmc (0.1%)

 

Mc mini (0.1%)

 

แบรนด์อื่น ๆ เช่น The Blue brothers, U-P, Mc mini, Bison และยังมีแบรนด์บำรุงผิวและเครื่องหอม ภายใต้แบรนด์ M&C

 

====

 

ช่องทางการจัดจำหน่ายมีอะไรบ้าง?

 

ทั้งนี้มีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งหมด 624 แห่ง ทั่วไทยและ 14 แห่งในต่างประเทศ (ผ่านตัวแทนจำหน่าย)

 

แบ่งเป็นดังนี้คือ ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (32.9%) มี 306 สาขา,

 

ร้านค้าปลีกของตัวเอง (60.4%) มี 312 สาขา,

 

และช่องทางอื่น เช่น ตัวแทนจำหน่าย ออกบูธ และ ออนไลน์อีก 6.6%

 

โดยต่างประเทศตอนนี้ก็บุกไปหลายประเทศแล้วครับ เช่น เมียนมา, สปป.ลาว, มาเลเซีย และ อิหร่าน เป็นต้น

 

====

 

เป็นยังไงเมื่อดูผลการดำเนินงานย้อนหลัง?

 

รายได้ในช่วง 5 ปีย้อนหลังไม่ค่อยสวยครับ

 

ปี 2017: 4,057 ล้านบาท

 

ปี 2018 : 3,717 ล้านบาท

 

ปี 2019: 3,344 ล้านบาท

 

จุดที่น่าสนใจคือหลักๆแล้วรายได้มาจากต่างจังหวัดในสัดส่วน 71.4%, มาจากกทม. เพียง 25.4% ส่วนที่เหลือ มาจากรถ mobile unit และตู้คอนเทนเนอร์ 0.9%

 

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ รายได้ลดลงเฉลี่ย ประมาณปีละประมาณ 5-6% ครับ

 

อัตราทำกำไรไม่ต้องพูดถึง ลดลงจากเดิมที่ทำได้ 18% ในปี 2558 เหลือเพียง 8% ในไตรมาสล่าสุด

 

ในขณะที่มูลค่าตลาดก็ลดลงเรื่อยๆจากปี 2559 มูลค่าตลาดอยู่ที่ 12,080 ล้านบาท ตอนนี้เหลือประมาณ 6,920 ล้านบาท ต่ำกว่าราคาจอง

 

====

 

ผลประกอบการลดลง แล้วทำไม ดร. นิเวศน์ ถึงซื้อ หุ้น MC?

 

เริ่มจากมุมของคุณสุณี ก่อนครับ

 

“อาจารย์นิเวศน์ เป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าที่ให้ความสำคัญกับการเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีสามารถลงทุนได้ในระยะยาว เราจึงมั่นใจกับคุณค่าที่อาจารย์ให้กับแม็คกรุ๊ป”

 

นอกจากนี้ยังให้ผลตอบแทนเงินปันผลสม่ำเสมอ (เฉลี่ย yield อยู่ที่ปีละ 7-8%)

 

====

 

แล้วในมุมของดร.นิเวศน์ ละ?

 

1. “ผมมองว่า เป็นธุรกิจที่มีโอกาส turnaround” ดร.นิเวศน์ เปรยๆ กับ “ถามอีก กับอิก”

 

“จริงๆแล้วผมไม่ได้มองว่าตลาดยีนส์ของเค้าจะโตอะไรมากมายนะ แต่จุดที่น่าสนใจคือขนาดเค้าโดนอุปสรรคขนาดนี้แต่ก็ยังขายใช้ได้”

 

แต่ “ถามอีก กับอิก” ก็ถามไปว่า แต่จริงๆยอดขายและผลประกอบการ ลดลงต่อเนื่องในช่วง 5 ปีนี้ ทำไมถึงมองว่ามีโอกาส turnaround

 

2. แกตั้งข้อสังเกตว่า จะเห็นว่า ตอนนี้การดำเนินธุรกิจของผู้บริหารเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เริ่มตัดขายธุรกิจที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องออก เช่น นาฬิกา TimeDeco (ทำให้ต้นทุนหายไปเยอะ)

 

3. และกำลังอยู่ในช่วง business transformation เน้นออนไลน์มากขึ้น และเชื่อว่าผู้บริหารที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาเยอะ

 

4. มีอีกมุมมองที่น่าสนใจครับ ดร.นิเวศน์ มองว่า จริง ๆ แกยังไม่ได้ buy idea ของการเป็นไลฟ์สไตล์ มาก เพราะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์

 

“แต่การที่ธุรกิจทำกำไรได้ปีละ 400-500 ล้านบาท ก็ถือว่าใช้ได้ในภาวะแบบนี้”

 

5. และยังสามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ได้ 7-8% ทั้งๆที่เจอปัญหามากมาย ทั้งออนไลน์ และคู่แข่งแบรนด์ดังจากญี่ปุ่น (รู้ ๆ กันอยู่ว่าแบรนด์ไหน)

 

6. และเป็นบริษัทไม่มีหนี้สิน และยังมีเงินสดเหลือ ๆ เป็นระดับ 1 พันล้านบาท ซึ่งสมัยนี้หายากแล้ว

 

7. แต่แกก็ย้ำว่า แกถือยาวนะ “ผมเน้นถือยาวอยู่แล้ว” และไม่ได้มองด้วยว่าธุรกิจนี้จะง่าย เพราะอุปสรรคยังมีเยอะมาก ๆ ทั้งในมุมการแข่งขันออนไลน์

 

โดยมีอีกจุดที่แกเชื่อมั่นคือ ความแข็งแกร่งของแบรนด์

 

====

 

ความเห็นของถามอีก กับอิก”

 

ตลาดยีนส์เป็นตลาดทีไม่เล็กไม่ใหญ่ครับ 21,000 ล้านบาท (อ้างอิงจาก Euromonitor) และยังมีโอกาสเติบโตปีละ 10% ในขณะที่ ตลาดเสื้อผ้าใหญ่มากที่ 3.3 แสนล้านบาท เติบโตปีละ 6% เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่การแข่งขันดุเดือดแบบสุดๆครับ ทำให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาค่อยๆลดลงเรื่อย ๆ

 

แต่นับตั้งแต่ได้ผู้บริหารท่านใหม่ คุณธนัญญารักษ์ เพ็ชรรัตน์ มาเป็นหัวเรือใหญ่ ก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่น่าสนใจ (ก่อนหน้านี้เป็น CEO ยักษ์ใหญ่มากมายทั้ง DHL, Motorola, SAS)

 

1. ตัดขายหุ้น Time Deco บริษัทลูก (ผู้นำเข้าแบรนด์นาฬิกาชื่อดังมากมายในไทย) แบบหมดพอร์ต 51% มูลค่ารวม 30 ล้านบาทในเดือนกันยายน ปี 2562 โดยจะหันกลับมาเน้นธุรกิจหลัก

 

และบันทึกขาดทุนด้อยค่า ค่าความนิยม (Goodwill)

 

ซึ่งก็น่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ครับ เพราะอย่างน้อยๆหลังจากนี้จะมีอัตราทำกำไรที่ดีขึ้น (ธุรกิจนาฬิกามี อัตราทำกำไรเพียง 3-5%) ในขณะที่ธุรกิจหลักที่ขายยีนส์มีอัตราทำกำไรอยู่ที่ 15-20%

 

2. ปีนี้น่าจะเห็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ขององค์กรครับ ทั้งในแง่การนำข้อมูลการซื้อของลูกค้า มาวิเคราะห์ เพื่อผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการ รวมถึงการพัฒนา supply chain ให้แข็งแรง

 

แต่กลยุทธ์เหล่านี้ คงต้องใช้เวลาพอสมควรครับ คงไม่สามารถบอกได้ว่า MC เค้าจะทำได้สำเร็จหรือป่าว

 

3. นอกจากนี้ จุดที่น่าสนใจในปี 2021 จะเริ่มสร้างโมเดลธุรกิจใหม่กับพันธมิตร โดยจะเน้นการเชื่อมต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ (แต่ยังไม่ทราบว่า จะเป็นพันธมิตร เจ้าไหน และจะทำโมเดลธุรกิจอะไร)

 

4. และในปี 2022 จะขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น เช่น สปป.ลาว เมียนมา อิหร่าน มาเลเซีย และจะเน้นตลาดแอฟริกา และเอเชียมากขึ้น

 

5. ฟังดูก็เป็นกลยุทธ์ที่ดี ครับ แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผู้บริหารคิด จะทำได้จริงมากแค่ไหน แต่ยังไงก็เอาใจช่วยนะครับ

 

6. และสุดท้ายอยากจะบอกว่า ในช่วงที่หลายคนกลัว วิกฤตโรคระบาด, กลัวความตึงเครียดตะวันออกกลาง แต่จริง ๆ แล้วอาจจะเปนโอกาสสำหรับบางท่านก็ได้

 

แต่! ช่วงที่คนอื่นเห็นโอกาส ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องเข้าไปร่วมวงด้วย แต่ควรมองว่า ทำไมเค้าถึงซื้อ และศึกษาเพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติม

 

ส่วนตัวมองว่าตอนนี้ MC รู้แล้วว่าอะไรคือจุดเด่น อะไรคือจุดด้อยของตัวเองในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็คงต้องรอดูกันยาวๆว่ากิจการจะฟื้นได้ในระยะยาวหรือไม่ และอีกอย่างกรอบระยะเวลาของแกกับของเราอาจจะไม่เท่ากันก็ได้ (แกถือยาวมาก จนกว่าพื้นฐานกิจการจะเปลี่ยน)

 

แต่ถ้าเราฝึกคิดตามบ่อย ๆ ว่าทำไมแกถึงซื้อหุ้นตัวนั้น ตัวนี้ สักวันนึงเราก็คงจะมีโอกาสเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกันครับ

 

========

 

เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต

 

อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย

 

ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน Line@: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE

Exit mobile version