เปิดพอร์ต 13 เซียนหุ้น

13370

ถ้าพูดถึงเซียนหุ้นรุ่นใหญ่ เรานึกถึงใครบ้างครับ?

 

วันนี้ทีม ถามอีก กับอิก Tam-Eig รวบรวมพอร์ตที่พี่ๆเซียนหุ้นรุ่นใหญ่ 13 ท่านถืออยู่ มาให้ดูกันครับ

 

“ในช่วงปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา พี่ ๆ เซียนหุ้นมีพอร์ตรวมกันกว่า 5.74 หมื่นล้านบาท!!” โอวโหดสุด ๆ ครับ (ที่เห็นว่าบางท่านถือน้อย ๆ เข้าใจว่าน่าจะทยอยลดพอร์ต ไปก่อนหน้านี้แล้วครับ)

 

ชื่นชมอย่างเดียวไม่ได้ครับ แต่อยากชวนมาค่อย ๆ พลิกดูว่า แต่ละท่านถือหุ้นตัวไหน

 

แล้วอยากให้ต่อยอดศึกษาวิธีคิด สไตล์การลงทุนแต่ละท่าน และลองคิดดูเพราะอะไรพี่ ๆ เค้าถึงซื้อหุ้นเหล่านี้เข้าพอร์ตครับ

 

ปะ ลุยกัน!

 

ปล.ตอนท้าย “ถามอีก กับอิก” รวบรวมหุ้นที่พี่ๆเซียนหุ้นถือซ้ำๆกันไว้ให้ศึกษาต่อแล้วครับ

 

 

ดร.นิเวศน์ ปรมจารย์นักลงทุนหุ้นคุณค่าของไทย

 

เท่าที่ดูส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ไม่หวือหวา เน้นค้าปลีก หุ้นสาธารณูปโภคพื้นฐาน

 

หลัก ๆ แกจะให้ดูว่ากิจการที่เราสนใจลงทุน มีคุณภาพ มีความแข็งแกร่งมากกว่าคู่แข่งมากแค่ไหน, มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งไหม? เก่งกว่าคู่แข่งยังไง? มีแบรนด์ loyalty ไหม? มีโอกาสเติบโตไหม และไม่ถูก disrupt ง่าย ๆ


นี่เป็นตัวอย่างในการมองหากิจการที่มีคุณภาพดีของสไตล์ ดร.นิเวศน์ ครับ


นอกจากนี้ระยะหลังดร.นิเวศน์ แกก็จะย้ำหลายรอบว่าให้ดูเงินปันผลด้วย เหตุผลเพราะถ้าช่วงตลาดผันผวน อย่างน้อยก็ยังมีเงินปันผลค้ำอยู่ครับ


และอีกอย่างที่ย้ำบ่อย คือ ราคาหุ้นต้องไม่แพงเกินไป

 

“ข้อนี้ทำให้หลายคนเจ็บหนักเหมือนกัน เมื่อดูแล้วทุกอย่างดูดี ราคาสูงแค่ไหนก็ซื้อ จึงพลาดไปซื้อหุ้นแพง” ดร.นิเวศน์ ให้ข้อคิดเตือนใจครับ

 

 

พี่หมอ พงศ์ศักดิ์ เป็นท่านที่ทำการบ้านหนักและมีความรู้รอบตัวเยอะมาก

 

“เราเป็นนักลงทุนในธุรกิจ” “ไม่เห็นต้อง ดูธุรกิจเป็นรายวัน” พี่หมอพงศ์ศักดิ์ จะมองว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทวิเคราะห์ทุกอย่างทั้งแหล่งที่มาของรายได้, แหล่งที่มาของกำไร ต้นทุนในการผลิต รวมถึงวิธีคิดในการบริหารงา

 

“ถ้าเป็นในมุมตัวเลขก็จะมองอัตราการเติบโต ปีละ 15-25% และมีขีดความสามารถในการแข่งขันมากกว่าคู่แข่ง” โดยจะไม่ถือหุ้นมากกว่า 8-9 ตัวเพราะจะติดตามไม่ทันและไม่รอบด้าน

 

โดยแกเชื่อว่า การลงทุนคือ การสะสมความรู้ และประสบการณ์ ค่อยๆศึกษาไปเรื่อยๆ จะทำให้เราประเมินศักยภาพในการเติบโตออก และเมื่อตลาดหุ้นตก เราต้องกล้าที่จะเข้าซื้อหุ้นที่ดี ในช่วงที่เจอแต่ข่าวร้าย

 

แต่ถ้ารู้ว่าคิดผิด ก็พร้อมที่จะขายหุ้นออกไปทันทีไม่ลังเลครับ

 

 

พี่ฮง เป็นพี่ชายนักลงทุนที่ผมรู้จักและชื่นชมมานานครับ

 

เป็นอีกหนึ่งท่านที่ศึกษาอะไร ก็ศึกษาให้รู้จริง และทุกครั้งที่มีโอกาสคุยด้วยจะคิดเสมอว่า แกคิดได้ยังไง มีอีกหลายมุมมากที่แม้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะได้ข้อมูลมาเหมือนกัน แต่แกจะมีมุมมองที่รอบด้านกว่า ทำให้อ่านเกมได้ขาดมากครับ

 

“ใช้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคควบคู่กันไป” เพราะแกมองว่าการใช้กราฟเทคนิคเหมือนกับเป็นกระจกหลัง ทำให้ช่วยให้การลงทุนได้ผลดีขึ้น

 

หลัก ๆ ก็จะเลือกจากหุ้นที่โอกาสเติบโตสูง (เติบโตสัก 26% เหตุผลเพราะเมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี ธุรกิจก็จะมีโอกาสเติบโตจากปัจจุบัน เท่าตัว) และที่สำคัญต้องเข้าใจในธุรกิจที่เราอยากจะลงทุน เพราะธรรมชาติของธุรกิจไม่เหมือนกัน

 

และมีครั้งหนึ่งพี่ฮง เคยแนะนำให้ ดูหุ้นที่มีปันผลดี 4-5% เพราะถ้ากำไรโตเท่าตัว ก็แปลว่าเงินปันผลก็มีโอกาสเติบโตมากขึ้น และถ้าตลาดพอใจหุ้นปันผลที่ระดับ 4-5% นั่นแปลว่าราคาหุ้นเองก็มีโอกาสโตมากขึ้นเช่นกัน

 

วิธีคิดไม่ธรรมดาจริง ๆ ครับ

 

 

เสี่ยยักษ์ คุณวิชัย วชิรพงศ์ สอนวิธีการมองลงทุนให้เหมือนกับการค้าขายครับ

 

คือ ถ้าเราซื้อของมาแล้วต้องมองให้ออกว่า สินค้าที่เราซื้อมาจะมีมูลค่าเพิ่มแค่ไหนในอนาคต และถ้าเอาไปขายต่อแล้วจะได้กำไรมากเท่าไหร่

 

โดยสไตล์ของแกก็จะมองหาหุ้นที่ราคาถูก แต่ไม่ใช่ราคาถูกอย่างเดียว แต่ต้องมีโอกาสเติบโตด้วย และเทคนิคในการซื้อคือ ค่อย ๆ ซื้อทีละเล็กทีละน้อย หยั่งเชิงก่อน

 

ถ้าคิดถูก ก็จะสู้ต่อ แต่ถ้าคิดผิดก็จะถอยทันทีไม่ลังเล

 

นอกจากนี้แกยังมองว่า นักลงทุนไม่ควรพยายามลงทุนตลอดเวลา เพราะแกเชื่อว่าตลาดหุ้นมีวงจรเสมอ ซึ่งถ้าตลาดร่วงหนักก็จะเป็นโอกาสในการมองหาหุ้นพื้นฐานดี แต่ช่วงไหนที่ไม่ใช่จังหวะของเราก็สามารถรอต่อไปได้ ไม่ต้องรีบ

 

 

อ.ไพบูลย์ เป็นอีกท่านที่นักลงทุนไทยให้ความเคารพอย่างมากครับ

 

อ.ไพบูลย์ เคยพูดหลายครั้งว่าตัวแกจะไม่ลงทุนในสิ่งที่จะทำให้ใจไม่ดี เป็นหลักเลยอะไรที่ฝืนความรู้สึกในเรื่องของศีลธรรม

 

และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ จะต้องรู้จักบริษัทที่เราจะลงทุนจริงๆ เราก็ว่าธุรกิจเขาทำอะไร
เราจะมีใจอิ่มเองเบิกบานเมื่อธุรกิจเขาดีขึ้น และไม่จำเป็นต้องเลียนแบบคนอื่น แนะนำให้หาสไตล์ที่เหมาะกับเราที่สุด

 

และควรเน้นลงทุนระยะยาว เหตุผลคือ คนที่มองไกลมองกว้างจะเห็นภาพได้ชัดกว่าคนที่มองสั้น

 

โห… โดนใจครับ

 

พี่ไรท์ ประชา เป็นพี่ที่สุขุม ลุ่มลึก

 

เป็นอีกท่านที่ทำการบ้านหนักมากจริง ๆ ครับ ดูหมดทุกอย่างตั้งแต่คุณภาพกิจการ มีโอกาสเติบโตสูง

 

และดูตัวเลขทางการเงิน เช่น ROE หรือผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น แปลเป็นภาษาบ้าน ๆ คือ ช่วงเวลาการคืนทุนจากการลงทุนครับ

 

แต่จุดที่น่าสนใจคือ แกจะประเมิน แนวโน้มศักยภาพของ ROE ในอนาคตของกิจการที่สนใจจะลงทุนด้วยครับ และต้องดูด้วยว่าตอนนั้นกิจการอยู่ในช่วงขยายธุรกิจหรือป่าว เพราะอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ ROE ต่ำอยู่ ณ เวลานั้น

 

อีกตัวเลขที่พี่ไรท์ มักจะชอบดูคือ กระแสเงินสดครับ (เพราะธุรกิจที่ดี ควรจะมีสภาพคล่อง และเก็บเงินจากลูกค้าได้) บริษัทไหนที่มีกระแสเงินสดดีก็จะมีศักยภาพในการขยายธุรกิจดี และมีหนี้น้อย ๆ

 

นอกจากนี้ควรจะต้องดูความสามารถของทีมผู้บริหาร และมีความซื่อสัตย์

 

แต่หลายครั้งหุ้นที่พี่ไรท์ เลือกเข้าพอร์ตถ้าสังเกตจะเห็น ว่าเป็นหุ้นที่มี P/E แพงพอสมควร แต่พี่ไรท์ มองว่าปกติจะเน้นที่หุ้นที่มีคุณภาพที่ดี หุ้นเกรด A ก่อน คุณภาพเยี่ยม

 

ราคาหุ้นไม่จำเป็นต้องถูกมา

 

“พูดจาตรงไปตรงมา อย่างจริงใจ” เป็นสไตล์ที่ทำให้พี่ป๋อง เป็นอีกท่านที่นักลงทุนไทย ชื่นชอบอย่างมาก

 

ที่เห็นว่าพอร์ตแก ลดลงเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่งได้มีการลดพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยงในภาวะผันผวนหนักในปีนี้ครับ

 

พี่ป๋อง เล่าให้ผมฟังหลายครั้งว่ากว่าจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามากครับ

 

แกเป็นอีกคนที่การบ้านหนักสุด ๆ นั่งดูกราฟตลอด ๆ แม้กระทั่งช่วงกลางคืน เจ้าของวลี “กราฟไม่เคยหลอกใคร” เพราะการกระทำทุกอย่างมันสะท้อนเข้าไปในกราฟหมดแล้ว

 

แต่เท่าที่คลุกคลีกับแกจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วพี่ป๋องไม่ได้เก่งเรื่อง กราฟอย่างเดียวนะครับ แต่ยังศึกษาพื้นฐานด้วย อ่านบทวิเคราะห์แบบรัว ๆ ครับ

 

สุดท้ายแกจะย้ำตลอดว่า ให้พวกเรานักลงทุนรายย่อยหาสไตล์การลงทุนของตัวเองให้เจอครับ แล้วจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

 

พี่โจ ลูกอีสาน เป็นขวัญใจนักลงทุนทั้งประเทศครับ

 

“เจ้ามือที่แท้จริง คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน” พี่โจชวนให้มองว่าการลงทุนให้หุ้นเหมือนการลงทุนในธุรกิจและเชื่อว่าถ้าหุ้นดีจริง สุดท้ายราคาต้องขยับ

 

และถ้าดูไส้ในจะเห็นว่า แกถือหุ้นหลายตัวเหมือนกันครับ เพราะสไตล์การทำการบ้านเป็นแบบจัดหนัก จัดเต็ม อ่านหุ้นแทบจะทุกตัว พลิกหินแทบจะทุกก้อนเลยครับ ทำให้อ่านแวบเดียวก็พอรู้แล้วว่าธุรกิจเป็นยังไง

 

โดยปกติก็จะคำนวณ มูลค่าที่หุ้นควรจะเป็นใน 1 ปีข้างหน้า แล้วมาเปรียบเทียบกับราคาในตลาด ถ้ามีมากก็จะน่าสนใจ

 

นอกจากนี้ก็จะดู ROE ควรจะมากกว่า 15% และ D/E ไม่ควรเกิน 1 เพราะไม่งั้นจะเริ่มมีความเสี่ยง

 

“การลงทุนไม่มีทางลัด ต้องขยันทำการบ้านมาก ๆ”

 

พี่พีรนาถ เป็นอีกท่านที่นักลงทุนไทยชื่นชอบครับ

 

พี่พีรนาถย้ำกับผมตลอดว่า ถ้าธุรกิจไหนที่แกไม่เข้าใจ แกจะไม่ลงทุนเด็ดขาดครับ เพราะแม้ว่าราคาหุ้นจะทำให้เราขาดทุน เราก็จะยังเข้าใจว่าขาดทุนเพราะอะไร ทำให้เห็นโอกาสหรือจริง ๆ แล้วมันคือวิกฤตกันแน่

 

อีกเทคนิคที่น่าสนใจคือ ก่อนจะลงทุนพี่พีจะมองว่าตัวเองเป็นเจ้าของ และมักจะลุยไปดูด้วยตัวเองเช่นหุ้นอสังหาฯ แกก็ไม่ได้ดูแค่ตัวเลขในงบอย่างเดียวครับ

 

แต่จะไปถึงที่โครงการและดูด้วยตัวเองว่าดีไหม และบางครั้งก็ยังให้คำแนะนำดีๆให้กับผู้บริหารได้ เพราะส่วนตัวชอบอสังหาฯอยู่แล้ว

 

และอีกอย่างที่แกชอบ คือ ชอบดูความสามารถของผู้บริหารว่าเป็นคนยังไง มีวิสัยทัศน์ยังไง แต่ราคาไม่ควรจะแพงเกินไปด้วยครับ

 

พี่ท่านนี้เป็นปริศนา ครับ

 

พี่มงคล มีพอร์ตเกือบ 2 หมื่นล้านบาท!! รวยแบบเงียบ ๆ low profile มาก ๆ ครับ

 

ทำให้ยากที่จะรู้วิธีคิดของแกโดยตรง แต่ถ้าให้วิเคราะห์จากพอร์ตหุ้นที่แกถือ ก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ หุ้นเติบโต เป็นหลัก

 

และถ้าวิเคราะห์มาดีแล้วและมั่นใจตัวไหน ก็จัดหนักจัดเต็ม (พี่มงคล กำไรจากการถือหุ้น บัตรเครดิตหลายเด้งมากๆครับ และถือนานพอสมควรเลยครับ มองขาดมาก)

 

พี่เคน โสรัตน์ นักธุรกิจและนักลงทุน

 

“ธุรกิจที่ดีไม่ได้ขึ้นกับว่าเราอยู่ในอุตสาหกรรมยอดฮิตหรือไม่” “แต่ขึ้นกับว่าใครคือกัปตันเรือ” เป็นประโยคที่ผมยังจำได้ขึ้นใจเลยครับ

 

พี่เคน โสรัตน์ นักลงทุนสายธรรมะ ให้คำแนะนำว่า หุ้นที่ดี คือมีโอกาสเติบโตเฉลี่ย 15-20% และถ้าเจอหุ้นที่เจ้าของทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสร้างมัน ยิ่งดี

 

โดยสไตล์แกอาจจะแตกต่างจากหลายท่าน ที่ จัดหนักจัดเต็มในหุ้นไม่กี่ตัว เพราะผ่านการคิดอย่างรอบคอบแล้ว สิ่งที่แกเน้นย้ำคือ ไม่ควรคาดหวังการลงทุนมากเกินไป เพราะจะทำให้เราเป็นทุกข์ ซึ่งเราควรลงทุนด้วยความสบายใจ

 

คุณสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือเสี่ยปู่ เป็นเซียนหุ้นรุ่นใหญ่ พูดน้อยต่อยหนัก

 

“แนวโน้มตลาดหุ้นเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือตัวหุ้นที่เราสนใจครับ” โดยหลักๆจะมองหาหุ้นที่มีคุณภาพดี บริหารโดยผู้บริหารที่เก่ง

 

และจะดูกำไรของบริษัทประกอบ โดยจะดูย้อนหลัง 5-10 ปี และดูว่าจ่ายเงินปันผลมากหรือป่าว ยิ่งมากยิ่งดี


เท่าที่ดูก็จะมีหุ้นในพอร์ตค่อนข้างหลากหลายเหมือนกันครับ เพื่อกระจายความเสี่ยง

 

โดยเป็นการเปลี่ยนสไตล์จากในอดีตที่เน้นการเก็งกำไรเป็นการลงทุนสไตล์หุ้นคุณค่า

 

คุณนเรศ งามอภิชน เป็นนักลงทุนรุ่นใหญ่อีกท่านที่น่าศึกษาวิธีคิด แต่ว่าค่อนข้าง low profile ครับ

 

เริ่มต้นการลงทุนแบบเก็งกำไร และหลายครั้งก็เคยขาดทุนชนิดที่เรียกว่า กำไรที่เคยได้มาหายไปหมดครั

 

หลัง ๆ เลยเริ่มเปลี่ยนสไตล์มาเป็น เน้นหุ้นเติบโตมากขึ้น โดยจะลงทุนในหุ้น ไม่เกิน 10 บริษัทและเน้นหุ้นที่มีราคาถูก เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงได้

 

รวมรายชื่อหุ้นที่พี่ ๆ เซียนหุ้นทั้ง 13 ท่านถือหุ้นทั้งหมด

 

สิ่งที่ “ถามอีก กับอิก” ตกผลึกจากพี่ๆเซียนหุ้นทั้ง 13 ท่าน

 

1. จะเห็นว่า แต่ละท่านมีสไตล์ที่แตกต่างกัน แต่ก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน

 

2. กว่าพี่ ๆ แต่ละคนจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ง่าย ๆ ครับ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะมาก และทำการบ้านเยอะมาก

 

3. สิ่งที่สำคัญคือเราต้องหาสไตล์ของตัวเองให้เจอ ต้องรู้ว่าเราเหมาะกับการลงทุนแบบไหน และรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน (ถ้ายังไม่เจอสไตล์ของเรา ก็ต้องหาต่อไป)

 

4. นอกจากจะต้องเข้าใจตัวเองแล้ว ต้องเข้าใจในหุ้นที่เราจะเข้าไปลงทุน ว่าเราลงทุนอะไรอยู่ และทำไมเราถึงเลือกลงทุนในหุ้นนั้น ๆ

 

5. พี่ ๆ แต่ละคนล้วนแล้วแต่ทุ่มเทเวลาศึกษาอย่างจริงจังมาก สะสมความรู้หลายสิบปี (ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เหมือนที่คนรุ่นใหม่คาดหวังครับ)

 

#เริ่มต้นวันนี้ให้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต #ถามอีกกับอิก

TAM-EIG

TAM-EIG

13370

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
error: Content is protected !!