ด่วน! สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 3
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน
ปู่บัฟเฟตต์กับชาร์ลี มังเกอร์ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยครับ พูดได้นานมากๆ มาลุยอ่านตอนที่ 3 กันต่อเลยครับ
============
22. อะไรคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดในชีวิตตอนนี้?
คำถามจะมีเป็นแนวปรัชญาในการใช้ชีวิตบ้างครับ ปู่มังเกอร์บอกว่า การมีชีวิตมากกว่านี้หน่อยนึง (ตอนนี้แก อายุ 95 ปีละครับ แต่ยังแข็งแรงอยู่เลยนะครับ)
ส่วนปู่บัฟเฟตต์ตอบว่า มีอยู่ 2 อย่างที่เงินไม่สามารถซื้อได้ นั่นคือ เวลาและความรัก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมีเงินเยอะพอสมควร
“เพราะถ้าเรามีเงินมากพอ เราก็จะสามารถทำอะไรก็ตามที่เราชอบได้ (โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร)”
============
23. ทำไม Berkshire ถึงไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลตอบการดำเนินงานของพอร์ตหุ้น
ปู่บัฟเฟตต์ตอบว่า “เราไม่ได้ทำธุรกิจประเภทที่จะต้องอธิบายรายละเอียดทุกเม็ดว่า ทำไมเราถึงซื้อหุ้นตัวนั้น ตัวนี้”
และขยายความเพิ่มเติมว่า หลายครั้งคนที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มจริง ๆ แล้วเป็นนักวิเคราะห์ต่างหากแหละครับ เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องการรายละเอียดทุกเม็ด ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับนักลงทุนรายย่อย
โดยมองว่าการเขียนรายงานประจำปีของ Berkshire อาจจะไม่ได้ทำให้ทุกคนเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ Berkshire เป็นเจ้าของก็ตาม แต่ก็เข้าใจเกี่ยวกับวิธีคิดและบริหารจัดการ (ซึ่งมากพอสำหรับการวิเคราะห์ธุรกิจแล้ว)
“ผมไม่รู้หรอกว่าเราให้ผลตอบแทนที่มากกว่าตลอดหรือป่าว แต่ขอให้มั่นใจเลยว่าเราทำธุรกิจในแบบที่ตอบสนองความต้องการของผู้ถือหุ้นใส่เงินทั้งหมดที่มีอยู่ใน Berkshire”
============
24. มีคำถามนึงน่าสนใจจากหนูน้อยอายุ 9 ขวบ ที่มาที่งานประชุมผู้ถือหุ้นรอบนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว
ปู่แซวว่า มาบ่อยขนาดนี้ งั้นแสดงว่าน้องน่าจะรวยแล้วนะ (เรียกเสียงฮือฮาได้อีกตามเคยครับ สังเกตว่าปีนี้มีคำถามจากเด็กๆเยอะเหมือนกันครับ)
“Berkshire Hathway จะปรับตัวพัฒนาโมเดลที่จะเพิ่ม Moats แล้วก็ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นไหมคะ?”
ปู่ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า Berkshire จะพยายามมองหาบริษัทที่มี moats ป้อมปราการที่แข็งแรง มีขีดความสามารถในการแข่งขัน
เป็นหุ้นที่คู่แข่งเข้ามาแข่งขันยาก ซึ่งนั่นเป็นหลักปรัชญาการลงทุนของ Berkshire ที่ใช้มานานอยู่แล้ว
“พวกเราไม่อยากที่จะพยายามชนะเกมใดๆ ที่พวกเราไม่เข้าใจ” “แต่เราก็จะพยายามอย่างดีที่สุด ที่จะเพิ่มขอบเขตความรู้ ความเข้าใจในหลายๆธุรกิจมากขึ้น เพื่อที่เราจะไม่ได้พลาดโอกาสในการลงทุนไปอย่างน่าเสียดาย”
(ปู่จะลงทุนเฉพาะในสิ่งที่ปู่เข้าใจเท่านั้นครับ อันไหนไม่เข้าใจก็จะยอมปล่อยผ่านไป เพราะฉะนั้นเพื่อไม่พลาดโอกาสในการลงทุนปู่เองก็ต้องหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมตลอดเวลานั่นเองครับ)
ปู่มังเกอร์ เสริมสั้น ๆ ว่า เราจะพยายามพัฒนาต่อไปครับ
============
25. คุณปู่มองว่าใครที่จะเป็นคู่แข่งของบริษัทประกันรถยนต์ที่คุณปู่ถือหุ้นเยอะ ๆอย่าง Geico
ถ้าเป็นผู้บริหารทั่วไปคงจะตอบว่าไม่มี แต่ปู่บอกว่า มีนะครับ นั่นคือบริษัทที่ชื่อว่า Progressive Corp. (หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการประกันรถยนต์สหรัฐครับ) “Gieco เป็นบริษัทที่บริหารจัดการดีมากครับ ในขณะเดียวกันบริษัท Progressive ก็บริหารธุรกิจได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กันเลย”
“เดี๋ยวพวกเราก็คงจะเห็นแหละครับว่า อีก 5-10 ปีนับจากนี้ใครจะเป็นผู้ขนะ” ดูเหมือนว่าปู่จะค่อนข้างชื่นชมแนวทางการเติบโตของ Progressive อย่างมากครับและมองว่าหลายครั้งผู้นำธุรกิจทั้งสองนี้ก็มักจะลอกเลียนแบบกลยุทธ์ซึ่งกันและกัน
“แต่มองว่า Geico ยังมีความได้เปรียบอยู่บ้างในด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่าย expense ratio” คุณ Ajit (ทายาทธุรกิจที่มีโอกาสมาเป็น CEO แทนปู่บัฟเฟตต์) ช่วยเสริมปู่ครับ
แต่ถ้าเป็นอัตราส่วน Loss ratio หรือ สัดส่วนของค่าสินไหมทดแทนต่อค่าเบี้ยประกันภัย ต้องยกให้ Progressive ที่ทำได้ดีกว่า “ตอนนี้ Geico กำลังมีโครงการอะไรบางอย่าง ซึ่งหวังว่าถ้าทำสำเร็จจะช่วยทำให้มีผลงานใกล้เคียงกับ Progressive ได้” คุณ Ajit พูดปิดท้ายครับ
============
26. อีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจคือแนวทางในการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานว่า ควรเน้นลงทุนให้เติบโตมากกว่านี้หรือไม่?
ปู่ขอให้ Greg Abel ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกเก็งว่ามีโอกาสขึ้นมาเป็น CEO ของ Berkshire ตอบแทนครับ
คุณ Greg ตอบว่า “ตอนนี้ Berkshire Hathaway Energy เน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนใน Iowa แต่ก็กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มในหุ้นสาธารณูปโภค เช่น PacifiCorp, NV Energy”
มองว่า PacificCorp กำลังสร้างสายส่งใหม่และเน้นธุรกิจพลังงานทดแทนมากขึ้นเพียงแต่โครงการเหล่านี้อาจจะช้าไปนิดนึง เพราะคิดมาตั้งแต่ปี 2008 แต่ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มสร้าง เฟสที่ 1
ต้องบอกว่า ปู่บัฟเฟตต์เองก็ชอบธุรกิจประเภทนี้นะ Berkshire Hatway Energy utility สามารถบริหารจัดการได้ดี จนถึงขั้นขายไฟฟ้าในราคาที่ถูกกว่าบริษัทที่บริหารจัดการโดยรัฐบาล ซึ่งมีข้อได้เปรียบบางอย่างเช่น ได้รับการยกเว้นภาษี
============
27. ในเมื่อ Berkshire มีเงินสดในมือสูงถึง 3.4 ล้านล้านบาท ทำไมถึงไม่เอาไปพักเงินไว้ที่ index fund กองทุนดัชนีก่อนละ แล้วถ้าเจอดีลซื้อกิจการดีๆ แล้วค่อยโยกเงินมาซื้อก็ได้นิครับ?
อันนี้น่าสนใจเพราะก่อนหน้านี้ปู่เองก็พูดมาเสมอ ๆ ว่า ถ้าไม่มีเวลาในการติดตามการลงทุนมากพอก็ควรมองการลงทุนในกองทุนดัชนีเป็นตัวเลือกในการลงทุนระยะยาว
“กองทุนดัชนี คือ กองทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับตลาด”
ปู่อธิบายว่า “จริง ๆ แล้วมีกฏเกณฑ์บางประการด้วย” ”ถ้าปู่เอาเงินสดไปพักกับกองทุนดัชนีในระยะสั้น เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่อาจจะเจอความผันผวนของตลาดหุ้นก็เป็นได้”
แต่โอเคครับในะระยะยาวก็อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำในอนาคตก็ได้ครับ “ถ้าให้เลือกลงทุนในพันธบัตรกับกองทุนดัชนี ยังไงก็ชอบลงทุนในกองทุนดัชนีมากกว่าอยู่แล้ว”
ส่วนปู่ชาร์ลี มังเกอร์ บอกเลยว่า พวกเราใช้นโยบายอนุรักษ์นิยมกับเงินสดมากกว่าคนส่วนใหญ่เสียอีก เพราะไม่อยากก้าวพลาดเหมือนกับมหาวิทยาลัย Harvard ที่ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความซับซ้อน ณ จุดที่ราคาสูงสุด
============
28. สำหรับงานในอนาคตจะเป็นอย่างไร หลังจากที่การใช้ AI ระบบอัตโนมัติ ระบบหุ่นยนต์และแนวคิดของการจ้างงานมนุษย์แบบชั่วคราวนำมาใช้กันมากขึ้น
ปู่บอกว่ายังไม่น่ากังวลครับ พร้อมกับให้ข้อคิดว่า “สมมติว่าเมื่อ 200 ปีที่แล้วคุณบอก ทุกคนในสมัยนั้นว่า สัดส่วน 90% ของงานเกษตรจะหายไป ก็คงจะไม่มีคนเชื่อแน่ ๆ จริงไหมครับ”
คุณปู่พยายามอธิบายแหละครับว่า สุดท้ายเดี๋ยวก็จะมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาทดแทนงานที่กำลังจะถูกหุ่นยนต์แทนที่ (ขึ้นอยู่กับว่า เราจะปรับตัวได้ดีแค่ไหน)
ปู่มังเกอร์เสริมในช่วงหลังว่า วิธีที่จะช่วยให้คนทั่วไปประสบความสำเร็จได้คือความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตัวเองทำครับ “ไม่มีใครอยากไปหาหมอ ที่เป็นทั้งหมอด้านลำไส้และเป็นหมอฟันในคนๆเดียวกัน” คนฮาทั้งห้องเลยครับ
============
29. ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐ
ปู่มังเกอร์ ตอบว่า โดยทั่วไปบรรยากาศการเจรจาเริ่มดีขึ้นเยอะครับ แต่คงจะสมเหตุสมผลมากกว่า ถ้าหากทั้งสองประเทศจะสามารถคุยกันได้ และทำการค้าร่วมกันได้
เพราะการที่ทั้งจีนและสหรัฐไม่สามารถไปด้วยกันได้ มีความขัดแย้งกัน ก็จะสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองฝ่าย (ในเชิงเศรษฐกิจ)
“ตอนนี้ Berkshire มีไอศครีม Dairy Queen ทั่วประเทศจีนและมองว่ากำลังไปได้ดี และเราไม่ได้รอให้กฏเกณฑ์ใหม่ๆทำแล้วเสร็จ เราบริหารธุรกิจภายใต้กฏเกณฑ์แบบเดิมๆ”
ส่วนปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า จีนเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ และเราชอบตลาดขนาดใหญ่
============
30. แล้วความเห็นเกี่ยวกับสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปละ
ปู่เลี่ยงการตอบตรงๆครับ แต่บอกว่าตอนนี้ Berkshire เองก็กำลังมองหาดีล มองหาโอกาสในการลงทุนในยุโรป มากขึ้นแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเข้าไปลงทุนในยุโรปบ้างแล้วก็ตาม
“มองว่าการออก จากกลุ่มจะเป็นข้อผิดพลาด แต่คงไม่กระทบกับการลงทุนของ Berkshire”
“พวกเราคาดหวังว่าจะสร้างบรรลุข้อตกลงแล้วเข้าลงทุนเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นยังไงก็ตามครับ” ปู่พูดเสริมครับ
============
31. สำหรับแนวทางหรือสไตล์ในการหาดีลเข้าซื้อหุ้นของปู่เป็นอย่างไร
ปู่บัฟเฟตต์อธิบายว่าตอนนี้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนอย่างคุณ Ted Weschler และคุณ Todd Combs ครับ แต่โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นดีลที่ Berkshire ต้องการเป็นเจ้าของเท่านั้นครับ (ไม่ใช่ว่าใครจะมาเสนอแล้วรับหมด)
“Berkshire โดยทั่วไปแล้วจะไม่จ่ายราคาแพงที่สุด แต่จะให้ทีมผู้บริหารสามารถ บริหารงานต่อได้” “ถ้าหากบริษัทไหนก็ตามต้องการแค่เงินจากพวกเรา พวกเราก็คงจะไม่เข้าไปเจรจาด้วย เพราะเสียเวลาทั้งคู่” ปู่มองหาบริษัทที่ต้องการเสริมในแง่กลยุทธ์หรือขีดความสามารถในการแข่งขันให้ด้วยครับ
ปู่ย้ำว่า จริงๆแล้วปีหน้า Berkshire สามารถจ่ายเงินระดับ 1 แสนล้านเหรียญได้แบบสบายๆชิลๆครับ ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาคือการใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาดอย่างไรต่างหากละ
============
33. ตอนนี้จะเห็นว่าการทำธุรกิจแข่งขันกันหนักหน่วงมากๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ปู่คิดว่าจะเลือกศึกษายังไง
“ผมจะอ่านหนังสือให้มากขึ้นเกี่ยวกับธุรกิจ” “พยายามมองหาว่าอะไรคือความรู้ที่สำคัญและพยายามทำความเข้าใจให้มากกว่าคู่แข่ง”
และจะพยายามเพิ่มความเข้าใจขอบเขตของความรู้ให้มากขึ้นกว่านี้
============
อ่านย้อนหลังตอนที่ 1 และ 2 คลิกที่รูปด้านล่างได้เลยครับ


============
ไม่อยากพลาด! อย่าลืมกดติดตามนะครับ
Line@: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE
Twitter: http://bit.ly/TAM-EIG_Twitter
Youtube: http://bit.ly/TAM-EIG_Youtube