สรุปประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2019
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน
เป็นประจำทุกปีครับ เรามีนัดกับปู่บัฟเฟตต์และปู่ชาร์ลี มังเกอร์ ที่จะมาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ทั้งภาพรวมตลาด, มุมมองเศรษฐกิจ และแนวคิดการลงทุนที่เราควรอ่าน ถ้าอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
ปีนี้ยังแข็งแรงทั้งคู่และยังมีอารมณ์ขันเช่นเคยครับ (แต่พลังเสียงดูอ่อนแรงไปเยอะเลยครับถ้าเทียบกับปีที่ผ่าน ๆ มา พูดไป หายใจแรง ๆ ไป เอาใจช่วยนะครับปู่บัฟเฟตต์)
มาลุยอ่านกันยาว ๆ ผมรับรองว่าอ่านแล้วเราจะเก่งขึ้นไม่มากก็น้อยครับ ที่นี่ที่เดียวครับ
===========
1. ปู่เริ่มจากการประกาศผลประกอบการของแกก่อนครับ
ไตรมาสล่าสุด Berkshire มีกำไรสูงถึง 2.166 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 7 แสนล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วที่ขาดทุนขาดทุนไป 1.14 พันล้านเหรียญ หรือ 4 หมื่นล้านบาท
“การที่ผลประกอบการเหวี่ยงขนาดนี้เป็นผลจากกฏเกณฑ์ทางบัญชี ที่ต้องรายงานหุ้นที่ปู่ขาดทุน หรือกำไร ทั้ง ๆ ที่กแกยังไม่ได้ขาย” คุณปู่อธิบายครับ
ปู่เน้นย้ำครับ “นักลงทุนไม่ควรมองแต่กำไร บรรทัดสุดท้าย” “โดยให้เน้นดูผลกำไรจากการดำเนินงานแทน”
“ผลประกอบการปีนี้ ไม่ได้รวมกำไรจาก Kraft Heinz ผู้ผลิตซอสมะเขือเทศชื่อดัง เพราะ Kraft Heinz ไม่ได้รายงานผลประกอบการกับกลต.”
ตอนที่แกซื้อหุ้นนี้ สัดส่วน 26.7% ใน Heinz ในปี 2015 ค่อนข้างฮือฮาครับ แต่ดูตอนหลังๆจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ (มีช่วงนึงที่ทำผิดทางบัญชี)
============
2. Berkshire ประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญหรือ 5 หมื่นล้านบาท
(ปีนี้ถูกถามเยอะมาก ๆ)
ตอนนี้มีเงินสดล้นมือกว่า 1.142 แสนล้านเหรียญ หรือ 3.4 ล้านล้านบาทเลยมีคนตั้งคำถามนี้กับปู่ครับ “ทำไม Berkshire ไม่ซื้อหุ้นคืนมากกว่านี้”
“ต่อให้เรามีตัง 1 แสนล้านเหรียญ หรือ 2 แสนล้านเหรียญก็ตาม เราจะไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางในการซื้อหุ้นคืน”
“ก่อนหน้านี้เราจะดู book value แต่ตอนนี้เป็นวิธีที่ล้าสมัยแล้วละ”
เราจะซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (หลังจากผ่านการวิเคราะห์อย่างอนุรักษ์นิยม) หรือถ้าไม่สามารถหาหุ้นที่ดีกว่าได้
โดยปู่มั่นใจว่าการซื้อหุ้นคืนในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดีต่อผู้ถือหุ้นแน่นอน
“ถ้าหุ้นเราถูกมาก เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน เราจะไม่ลังเลที่จะซื้อเลย เราสามารถจัดหนักได้ 1 แสนล้านเหรียญได้แบบสบายๆ” ปู่เสริมครับ
(สังเกตว่า ระหว่างที่ปู่พูด ปู่ชาร์ลีเคี้ยวขนมๆไปด้วย กินโค้กไปด้วย เป็นภาพที่น่ารักไปอีกแบบครับ 55)
และปู่ชาร์ลี ตอบคำถามสั้นเหลือเกิ๊นครับ “เราจะมีอิสระมากขึ้นในนโยบายการซื้อหุ้นคืน” พูดแค่นี้แล้วจบ คนก็ฮาทั้งห้องประชุมเลยครับ
============
3. มีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจรถไฟ (ที่ปู่ซื้อมานานแล้ว)
“ธุรกิจรถไฟ ทำธุรกิจแบบเดิมมานานมากๆแล้วครับ มากกว่า 100 ปีแล้ว” “ก่อนหน้านี้รถไฟจะรอสิ่งของ ขนของมาที่รถไฟ แล้วก็ออกจากสถานีรถไฟ ตอนที่ลูกค้าพร้อม”
แต่ตอนนี้แนวทางการทำธุรกิจเริ่มเปลี่ยนครับ เริ่มที่จะเหมือนกับเครื่องบิน ที่ได้มีการกำหนดเวลาในการออกจาก สถานีรถไฟล่วงหน้า นั่นหมายความว่า สินค้าเกษตร, แร่ธาตุ ต้องพร้อมที่สถานีรถไฟ ไม่งั้นก็ต้องตกรถไฟ
วิธีนี้เรียกว่า PSR (precision-scheduled railroading) หรือการกำหนดเวลารถไฟแบบเปะ ๆ
คำถามคือ ”BNSF หุ้นรถไฟที่ปู่ถืออยู่นั้น จะหันมาใช้วิธีนี้ไหม” ปู่ตอบทันทีว่า “เราไม่มีแนวทางในการคัดลอก อะไรก็ตามที่ประสบความสำเร็จ”
“เราจะทำอะไร ก็ต่อเมื่อเราเห็นว่า เป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี” “และเป็นการทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น” “แต่เราจะไม่คัดลอกใคร (คู่แข่ง) เด็ดขาด“ ปู่ย้ำครับ
============
4. ยังมีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจรถไฟ เพราะกลัวว่าจะมีรูปแบบการขนส่งอื่นๆที่จะมาแทนที่
“ตอนนี้เรายังไม่เห็นว่ารูปแบบการขนส่งแบบไหนที่จะสามารถมาแทนที่รถไฟในด้านการขนส่งได้”
“เราเห็นว่าตอนนี้เรา (ธุรกิจรถไฟ) มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกๆปี” “ถ้าคนจะมองว่ารถไร้คนขับจากเข้ามาทำให้รถไฟ สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ในการขนส่งสินค้า”
“ต้องอย่าลืมว่ารถไฟขนส่งสินค้ามากกว่าทุกรูปแบบการขนส่งในโลกใบนี้ โดยเฉพาะการขนส่งของหนัก ในระยะทางไกลๆ” ปู่เสริมครับ
============
5. ปู่เคยวิพากย์วิจารณ์ Salamon แล้วทำไมวิจารณ์ Wells Fargo ทั้งๆที่ทำข้อผิดพลาดคล้ายๆกัน
(คนปรบมือทั้งห้องประชุมเลยครับสำหรับคำถามนี้)
Wells Fargo นับว่าเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่ก่อนหน้านี้ ปู่บัฟเฟตต์จัดหนักซื้อหุ้นตัวนี้นานแล้วครับ
แต่ตอนหลังมีข่าวมาเรื่อยๆ ว่า Wells Fargo ทำบัญชีลูกค้าปลอมขึ้นมา
ปู่ตอบทันทีว่า “เห็นด้วยครับว่า Wells Fargo ทำข้อผิดพลาดจริง โดยได้ทำบัญชีปลอม ทั้งที่ไม่มีจริง” “เหตุผลที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจาก การให้แรงจูงใจกับพนักงานแบบผิด ๆ” (ถ้าพนักงานหาลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ก็จะได้ผลตอบแทนมากเท่านั้น)
“เป็นวิธีที่ไม่มีทางสร้างกำไรให้กับ Wells Fargo ได้เลยครับ” แต่ปู่บอกว่า CEO ไหนก็ตามที่ทำข้อผิดพลาด ไม่ควรออกจากตำแหน่งไปพร้อมกับความร่ำรวย (หลายคนถูกให้ออก แล้วก็ได้เงินก้อนไป)
ปุ่ชาร์ลี บอกว่า จริงๆแล้วเค้าหวังว่า คุณ Tim Sloan อดีต CEO ของ Wells Fargo ยังอยู่ในตำแหน่ง CEO นะ เพราะมองว่าเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ตั้งใจ
============
6. มีคู่ที่น่ารักคู่นึงที่ถาม คือ หนูน้อยกับคุณพ่อครับ
“การลงทุนครั้งไหนที่น่าสนใจ หรือน่าสนุกที่สุดในมุมของปู่ครับ” คุณพ่อถามแทน ปรากฏว่า ปู่หยุดนิ่งไปประมาณ 3 วินาที แล้วคนก็หัวเราะทั้งห้องอีกตามเคย
ปู่ตอบไปว่า “ปกติการลงทุนก็สนุกเสมอแหละครับ ถ้าเราสามารถทำตังได้มาก ๆ” เท่านั้นแหละครับ คนฮาอีกแล้ว
ปู่เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ที่ปู่เคยซื้อหุ้น Atled ครับ เป็นหุ้นที่พุ่งจาก 100 เหรียญ ไปเป็น 29,200 เหรียญ ซึ่งถ้ายังไม่ขายหุ้นตอนนี้มูลค่าคงจะหลายล้านแล้วละ
============
7. ช่วงนี้มีเสียงวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับระบบทุนนิยม และเริ่มสนับสนุนนโยบายสังคานิยมในสหรัฐ ปู่จะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ครับ? แล้วจะกระทบกับ Berkshire ยังไง?
ปู่ออกตัวก่อนว่าจริง ๆ แล้วความคิดเห็นทางการเมือง เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะ ไม่ใช่ในฐานะบริษัท berkshire
“Berkshire ไม่ได้ให้ตังกับผู้สมัครประธานาธิบดีเลย” “ระบบทุนนิยมเกี่ยวข้องกับกฏระเบียบ และเป็นแนวทางในการดูแลผู้คนที่ถูกทอดทิ้งในสังคม” ดังนั้นจึงไม่คิดว่า สหรัฐจะใช้ระบบสังคมนิยมในเร็ว ๆ นี้ ไม่ใช่ในปี 2020, 2040, หรือ 2060 แน่ ๆ ครับ
============
8. มีคนนึงน่าสนใจครับ เป็นคนจีนถามว่า “คิดอย่างไรเกี่ยวกับ 5G แล้วจะส่งผลอย่างไรต่อการทำธุรกิจ”
ปู่บัฟเฟตต์ตอบไปว่า จะปล่อยให้ผู้บริหารของ Berkshire ลองคิดดูว่าจะทำอย่างไรเกี่ยบกับการมาของ 5G
ส่วนปู่ชาร์ลี ไม่ยอมตอบเกี่ยวกับ 5G เพราะแกยอมรับว่ารู้น้อยมากเกี่ยวกับ 5G
แต่อธิบายว่าตัวเค้าได้ซื้อหุ้นหลายตัวในจีน และคิดว่าจะซื้อมากขึ้น เท่านั้นแหละครับคนก็ขำกันหมด เพราะตอบไม่ตรงคำถาม (ไม่รู้ว่านัยยะคือ คนจีนเก่ง 5G หรือป่าว)
============
9. หนึ่งในเหตุผลที่ Berkshire จับมือเป็นพันธมิตรกับ JP Morgan และ Amazon
ปู่อธิบายว่า เป็นเพราะคาดหวังว่าภาคเอกชนจะช่วยพัฒนาได้อีกหลายอย่าง เนื่องจากปกติแล้วภาคเอกชนทำหน้าที่ได้ดีกว่าภาครัฐมาก
“โลกใบนี้จะเปลี่ยนไปอีกมาก แค่ลองคิดดูว่าตลอด 54 ปีที่ผ่านมาบริษัท berkshire เปลี่ยนไปมากขนาดไหน”
============
10. ยอมรับว่าจ่ายเงินแพงเกินไปสำหรับการซื้อหุ้น Kraft Foods Group
การเข้าซื้อหุ้น Kraft Foods Group ในปี 2015 ในสัดส่วน 27% ทำให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของโลก ดูแล้วก็น่าจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ
แต่ระยะหลังดูจะมีปัญหาเกี่ยวกับการรายงานทางบัญชี
ปู่บอกว่า จริง ๆ แล้วก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดีนะ แต่การที่คุณจ่ายราคาแพงมากเกินไป (ซื้อหุ้นแพงไป) ก็อาจจะทำให้การลงทุนครั้งนั้น ๆ ให้กลายเป็นการลงทุนที่ผิดพลาดได้เช่นกัน (ควรซื้อหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม)
============
ไม่อยากพลาด! อย่าลืมกดติดตามนะครับ
Line@: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE
Twitter: http://bit.ly/TAM-EIG_Twitter
Youtube: http://bit.ly/TAM-EIG_Youtube
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนและภาพจาก yahoo finance