สรุปประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2018 (5 พ.ค. 2561)
ถือว่าเป็นงานที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองอย่างมากครับ อารมณ์เหมือนฟุตบอลนัดหยุดโลกอะไรประมาณนั้น
บรรยากาศของการประชุมผู้ถือหุ้นของปู่บัฟเฟตต์ คึกคักมากๆครับ และตลอดการพูดคุยก็จะเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของปู่ และชาร์ลี มังเกอร์ เป็นระยะๆ อารมณ์ดีจริงๆครับ (มังเกอร์พูดอะไรคนก็ขำไปหมดแฮะ)
ปุ่อายุ 87 ปี, มังเกอร์ อายุ 94 แล้วนะครับ ไม่น่าเชื่อเลย ยังแข็งแรงและมีไหวพริบมากๆ ตอนหนุ่มๆจะขนาดไหนเนี่ยยย
================
1) ปู่ยังชอบอเมริกาในระยะยาว
“ถ้าสามารถลงทุนได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต ผมจะเลือกลงทุนในอเมริกา” นั่นคือสิ่งที่ปู่พูดช่วงแรกๆของการประชุมผู้ถือหุ้น แกแนะนำให้มองการลงทุนในระยะยาวเป็นหลัก
ปู่แกเล่าให้ฟังว่า ตอนช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นปู่อายุ 11 ปี และได้ซื้อหุ้นตัวแรกๆในชีวิต นั่นคือ หุ้น City services
เป็นช่วงที่บรรยากาศการลงทุนแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ (แกโชว์คลิปของ New york Times ช่วงนั้นมีแต่ข่าวลบ)
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หุ้นลง หลังจากที่แกซื้อครับ (เหมือนพวกเราเปะเลยเนะ ซื้อปุบลงทันที ขายปุบวิ่งเป็นม้าเลย) หลังจากที่สงครามโลกจบ หุ้นก็วิ่งหนักมากหลายเท่าตัว (แกก็ขายหมูไปเหมือนกัน)
ผมว่าสิ่งที่แกอยากจะสื่อคือ ในระยะยาวหุ้นที่มีพื้นฐานดี ยังไงก็มีโอกาสที่จะกลับมาได้ (แกชอบ หุ้นมากกว่าทองคำ)
================
2) “ผมเกษียณไปครึ่งนึงในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา”
เป็นสิ่งที่ัปู่ พยายามจะบอกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา (คงเพราะมีคนกังวลเรื่องอายุของแกแหละครับ อายุเกือบ 90 ละ แต่จริงๆยังแข็งแรงอยู่เลยนะครับ แต่ถ้าเป็นในเชิงธุรกิจก็คงต้องถามแหละว่า ถ้าไม่มีแกอยู่แล้ว Berkshire จะเป็นยังไง)
“เคล็ดลับความสำเร็จของ Berkshire คือบ้ฟเฟตต์ไม่ทำอะไรเลย” คุณมังเกอร์ แซวปู่ เล่นเอาฮาทั้งห้องประชุมเลยครับ
หลังจากนั้นก็มีคำถามว่า ในอีก 50 ปีว่าหน้าตา Berkshire จะเป็นอย่างไร?
ปู่บอกว่า ไม่มีใครรู้หรอก เพราะ 50 ปีที่แล้วปุ่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นแบบทุกวันนี้ แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือ จะยึดผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ใช้เงินผุ้ถือหุ้นเหมือนเป็นเงินของปู่เอง
================
3) มองสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐอย่างไร
“ด้วยตัวเลขขาดดุลการค้า 3% แม้ว่าเราจะไม่อยากให้ตัวเลขมากไปกว่านี้ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ประเทศจีนจะส่งสินค้ามาให้เรา แล้วเราก็จ่ายเงินไปให้คนจีน”
ปู่ตอบคำถามตรงๆ โดยมองว่า ทั้งจีนและสหรัฐจะเป้นประเทศมหาอำนาจไปอีกตราบนานเท่านาน
แม้ว่าจะมีความตึงเครียดระหว่างกันบ้าง แต่ท้ายที่สุดจะเห็นว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน และโลกของเราเองก็ต้องพึ่ง การค้าจากประเทศมหาอำนาจทั้งสองแห่ง
ปู่แซวต่อว่า เลข 8 เป็นเลขนำโชคของคนจีน เลยคิดว่าอาจจะเป็นปีที่ดีที่จะเข้าซื้อกิจการที่นู้นก็ได้
จริงๆแล้วปู่ก็กำลังมองหาโอกาสลงทุนในเอเชียมากขึ้นโดยได้เข้าซื้อ หุ้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน BYD (เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดด้วย)
================
4) มองโอกาสลงทุนอย่างไร?
ด้วยเงินสดในมือกว่า 3 ล้านล้านบาท ปู่บอกว่าสนใจลงทุนอยู่แล้วถ้ามีดีลที่ดี แต่ชึ้นอยู่กับบริษัท Berkshire ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปู่
มังเกอร์เสริมว่า ตอนนี้บริษัทลูกของ Berkshire ซื้อกิจการมากกว่าตัวแม่ และได้ให้ข้อคิดว่า สำหรับบริษัทที่มีหนี้มากแล้วกำลังไล่ซื้อกิจการราคาแพง ต้องระวังอาจจะจบไม่สวยนะ (ไม่ได้บอก บจ.ในไทยใช่ไหมครับ อิอิ)
================
5) คำถามจุกอกคือ มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ Wells Fargo
Wells Fargo เจอเรื่องอื้อฉาวเรื่องโกงตัวเลขบัญชีลูกค้า ทำให้หุ้นร่วงหนัก (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/Tam.eig/posts/1663329060430095 )
ปุ่บอกว่า เคยบอกแล้วว่า Wells Fargo มีนโยบายให้เงินพิเศษกับพนักงานแบบผิดๆ ก็เลยทำให้เกิดการโกงขึ้น
แต่ถ้ามองด้านการลงทุน ปุ่บอกว่า ยังชอบอยู่นะ ยังชอบ CEO คนปัจจุบันที่พยายามแก้ไขปัญหาที่ผุ้บริหารคนก่อนๆได้สร้างขึ้น และถ้ามองความสามารถการแข่งขันจะเห็นว่า Wells Fargo เองยังไม่ได้ด้อยกว่าธนาคารอื่นเลย
แต่เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งใน AmEx ปี 1964, และ 1976 ที่ Geico แต่สุดท้ายถ้าได้ผู้บริหารที่เก่งก็จะแก้ไขสถานการณ์ได้
================
6) คำถามฮอตมากคือ การก่อตั้งบริษัทเพื่อลุยธุรกิจสุขภาพ กับ Amazon และ JPMorgan
ปู่บอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะเริ่มทำธุรกิจสุขภาพนะ แต่เป็นเพียงแค่ก่อตั้งบริษัทร่วมกัน 3 องค์กรที่มีผู้นำที่ปุ่เชื่อใจและชื่นชม (เป้นการร่วมมือกันแบบหลวมๆ ไม่ได้มีสัญญาตามกฏหมายนะครับ)
เหตุผลที่ก่อตั้งบริษัทนี้ไม่ได้ต้องการทำกำไร แต่อยากให้พนักงานได้รับการรักษาทางการแพทย์ที่ดีขึ้น ในราคาที่ถูกลงเท่านั้น
ปุ่บอกว่าตอนนี้ สหรัฐมีแพทย์น้อยลงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร, มีเตียงสำหรับผู้ป่วยน้อยลงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร, มีพยาบาลน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ก็เลยทำให้เกิดปัญหาต้นทุนสูงขึ้น (เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ค่ารักษาแพงหูฉี่)
แหม… นี่ปุ่แกไม่ได้ตั้งใจทำกำไรจากธุรกิจนี้ แต่เท่าที่ดูหุ้นรพ. ในสหรัฐร่วงหนักตั้งแต่ 3 เจ้านี้จับมือกันนะครับ
================
7) หุ้น Geico เปรียบเสมือนเพชรอันสวยงาม
นั่นคือสิ่งที่ปู่บัฟเฟตต์เรียก Geico ครับ เป็นบริษัทประกันรถยนต์ที่มีลูกค้ามากกว่า 24 ล้านคัน มีรายได้กว่า 8 แสนล้านบาท
ไตรมาสล่าสุดเป็นหุ้นที่หล่อที่สุดในพอร์ตของบัฟเฟตต์ เพราะพลิกจากที่ขาดทุนเละเทะ จากภัยพิบัติธรรมชาติ กลายเป็นกำไรในไตรมาสล่าสุดนี้
ปู่บอกว่า Geico เป็นบริษัทที่สุดยอด เหลือเชื่อมาก ช่วยทำให้ลูกค้าประหยัดตังได้มากถึง 1.2แสนล้านบาท-1.5 แสนล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
และคาดว่า ปีนี้จะมีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นบริษัทที่มีพนักงานเพิ่มขึ้นจาก 8 พันคน เป็น 39,000 คนแต่ยังมีประสิทธิภาพอย่างมาก (ปุ่ชอบบริษัทที่ lean หน่อย)
ปล. สำหรับธุรกิจประกัน ต้องติดตามประกันออนไลน์ บริษัทในเครือ ที่ตอนนี้รุกหนักมากๆ แต่ต้องดูว่าจะดีในระยะยาวหรือไม่ เพราะอยู่ในช่วงลด ต้นทุน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดนใจลูกค้า
================
8) ถ้าให้เลือกการ “ซื้อหุ้นคืน” กับการ “จ่ายเงินปันผล” ปู่เลือกอะไร?
คำถามนี้น่าสนใจเพราะ Berkshire มีเงินสดในมือกว่า 3 ล้านล้านบาท ก็คงไม่แปลกที่จะมีคนถามว่าปู่จะจ่ายปันผลพิเศษหรือไม่
ปู่ตอบแบบไม่ลังเลว่า “น่าจะเป็นการซื้อหุ้นคืน มากกว่าจ่ายเงินปันผล”
ปูอธิบายต่อว่า ปู่ลงทุนในช่วงไตรมาสแรกจนถึง เมษายน ไปกว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 4.5 แสนล้านบาท!!
จุดที่น่าสนใจคือ นับตั้งแต่ปี 1967 ปู่บัฟเฟตต์ไม่ได้จ่ายเงินปันผลเลยนะครับ แต่มีการซื้อหุ้นคืนบ้าง
มังเกอร์เสริมว่า แม้ Berkshire จะมีตังมากแต่ก็ยังมีโอกาสลงทุนในกลุ่ม พลังงานอีกมาก เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผล แทบจะเป็นศูนย์
================
9) ปุู่ยังย้ำว่า สหรัฐเป็นตลาดที่น่าลงทุนมากที่สุด
เหตุผลคือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก 30 ล้านล้านเหรียญ และที่สำคัญเป็นตลาดที่ปุ่เข้าใจมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ส่วนตลาดที่ปุ่ไม่ค่อยชอบ คือ ตลาดพันธบัตรระยะยาวครับ และอธิบายเพิ่มเติมว่าสัดส่วนเงินของ Berkshire ที่อยู่ในพันธบัตรเป็นรุ่นที่มีอายุสูงสุดที่ 4 เดือนเท่านั้น (น่าจะเป็นเหตุผลที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น)
คุณมังเกอร์ เสริมว่า ในอดีตธนาคารกลางสหรัฐกดให้ดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งไม่ยุติธรรมเลยสำหรับคนที่ชอบออมเงิน (ในธนาคาร) แต่ก็เป็นประโยชน์กับคนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
================
10) พี่ Elon Musk ก็มีเอี่ยวกับเค้าด้วย เป็นคำถามที่เรียกเสียงฮือฮาได้มาก
ในงานประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire นี้ มีคนอ้างคำพูดของ Elon Musk ที่เคยบอกว่า “Moat เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ได้เรื่อง” “ถ้าคุณตั้งรับอย่างเดียว พอคุณเจอศัตรูที่บุกหนักๆ คุณก็จะเจอจุดจบอย่างรวดเร็ว” “สิ่งที่มีผลมาก คือ การเร่งพัฒนานวัตกรรม ต่างหากละ”
พูดแค่นี้ คนก็ฮือฮาสุดๆครับ
ปู่บอกว่า บางอย่าง Elon ก็เข้าใจผิด หน้ามือเป็นหลังมือ (คนฮาทั้งห้อง)
Moat ในความหมายของปุ่ และมังเกอร์ เปรียบเสมือนกับคูเมือง ที่แข็งแกร่ง มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ยากที่คู่แช่งจะเจาะเข้ามาได้
================
11) คำถามที่คนอยากรู้ที่สุดคือ ทำไม ปู่ซื้อ Apple แต่ไม่ยอมซื้อ Microsoft
อันนี้คนฮือฮามากที่สุดครับ เพราะ คุณ Bill Gates ก็อยู่ในห้องนั้นด้วยเช่นกัน
ปู่เล่นมุขบอกว่า “เป็นเพราะความโง่เขลาของผมเอง” คนก็ขำทั้งห้องอีกเช่นเคย
แต่ปู่อธิบายต่อว่า เหตุผลคือเค้าสนิทกับ Bill Gaes มากเกินไป ซึ่งอาจจะมีปัญหาตามมาว่า ปู่บัฟเฟตต์จะรู้ข้อมูลภายในอะไร จาก Bill Gates หรือไม่ (ไม่เหมือนบ้านเรานะ อิอิ)
ปู่ก็เลยไม่อยากยุ่งกับหุ้น Microsoft แต่ก็บ่นเสียดายนิดๆเพราะนั่นเป็นค่าเสียโอกาส กำไรมหาศาล (คนฮาทั้งห้อง)
================
12) ทำไมปู่จัดหนัก Apple + มีความเห็นอย่างไรกับการซื้อหุ้นคืน??
เป็นหนึ่งในคำถามที่คนทั้งโลกอยากจะถามเหมือนกันครับ
ปู่บอกว่า ปู่ชอบ Apple มาก เพราะเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจกับผู้บริโภคได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
และเค้าเห็นด้วยที่ Apple ประกาศซื้อหุ้นคืนกว่า 6 หมื่นล้านบาท ตราบใดที่ราคาหุ้นบนกระดานต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือกรณีที่ Apple ไม่สามารถหาวิธีการใช้เงินที่มอยู่ในมือได้ดีมากพอ
เพราะการที่จะหาดีลซื้อกิจการขนาดใหญ่ก็ไม่ใ่ช่เรื่องง่าย ยิ่งตอนนี้ยิ่งยาก ในแง่ของความสามารถในการแข่งขันและในด้านราคา
และอีกอย่าง ปู่ก็ชอบมากที่การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขขึ้น จาก 5% เป็น 7% โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มสักสตางค์
มังเกอร์เสริมว่า มีหลายบริษัทที่มุ่งซื้อกิจการอื่นโดยที่ไม่ได้ดูให้ดี ผลคือ ในท้ายที่สุดก็มีมูลค่าน้อยกว่าตอนที่ซื้อ (ขาดทุนนั่นเอง)
=================
13) การแข่งขันดุเดือดขึ้นกระทบพอร์ตบ้างไหม?
ปู่บอกว่า หลายบริษัทที่ลงทุนอยู่นั้น กำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือด จากทั้ง start-up หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น American Express
แต่ก็เป็นหุ้นที่แกชอบมาก ไม่ได้มองลบมากเกินไป เพราะรู้ว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่
ปู่ยังเล่นมุขต่อ ว่าที่ผ่านมา Berkshire ก็เคยซื้อบริษัทที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เช่นการซื้อธุรกิจสิ่งทอ (นั่นคือบริษัทแม่ Berkshire นั่นแหละครับ)
================
14) ทำไมถึงลงทุนในหุ้นที่มีการลงทุนหนักๆ?
เป็นอีกคำถามที่เรียกเสียงฮือฮาจากผู้เข้าร่วมได้อย่างมาก เพราะเป็นคำถามมาจากเด็กอายุ 8 ขวบเท่านั้น (น้องถือหุ้น Berkshire มาแล้ว 2 ปีนะครับ ถามได้ฉลาดมากๆ)
น้องสงสัยมากว่า ทำไม “ปู่ถึงลงทุนในธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนหนักๆ เช่น สาธารณูปโภคพื้นฐาน, รถไฟ ซึ่งน่าจะขัดกับปรัชญาการลงทุนของปู่เอง” โหหห ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำถามจากหนูน้อยนะครับ
ปู่แซวทันทีว่า “คำถามของน้อง กำลังฆ่าผมชัดๆ” ฮากันทั้งห้องอีกแล้วครับ
ปู่อธิบายว่า เหตุผลที่ปู่ลงทุนเนื่องจากผลตอบแทนในกลุ่มนี้แม้จะมีการลงทุนเยอะ แต่ก็ให้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ
================
15) ทำไมยังลงทุนในหุ้นหนังสือพิมพ์มากมาย?
เป็นคำถามที่ดีนะครับ เพราะ Berkshire ลงทุนในหุ้นหนังสือพิมพ์หลายสิบแห่ง ทั้งๆที่มีปัญหาค่าโฆษณาลดลง+กำลังปลดคนงาน
ตอนนี้มีแค่ Wall street journal, New York Times, Washington Post ที่หันมาทำสื่อดิจิตอลจริงจังและสามารถชดเชยรายได้ที่หายไปจากสื่อสิ่งพิมพ์ได้
แต่ก็ยอมรับว่ายากที่ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ท้องถิ่นที่มีกว่า 1,300 แห่งในสหรัฐจะอยู่รอดในระยะยาว
คุณมังเกอร์เสริมว่า “ยอมรับว่าธุรกิจหนังสือพิมพ์แย่เร็วกว่าที่คิด ซึ่งเราคงคิดถึงหนังสือพิมพ์บางฉบับ ถ้าพวกเขาเจ๊งและปิดกิจการไป”
================
16) มองสกุลเงินดิจิอย่างไร?
เป็นคำถามที่ปู่แกถูกถามตลอดเลยนะครับ แต่รอบนี้ถูกกระทุ้งว่า ปู่ยังไม่ได้ทำวิจัยในเรื่องนี้ แล้วทำไมถึงสรุปแบบนั้น
ปู่บอกว่า เป็นสินทรัพย์ที่ nonproductive asset
มูลค่าที่แท้จริงของสกุลเงินขึ้นอยู่กับว่า ใครจะซื้อต่อจากพวกเราไปที่ราคาเท่าไหร่
ปู่ปิดท้ายว่า “สกุลเงินพวกนี้จะจบไม่สวย”
คุณมังเกอร์เสริมว่า “เป็นสินทรัพย์ที่น่ารังเกลียดมาก” “เหมือนเป็นแก๊สพิษ” “เหมือนมีใครก็ไม่รู้กำลังซื้อ-ขาย อุจจาระ แล้วคุณก็ตัดสินใจว่า” “ผมเองก็ไม่สามารถ ที่จะพลาดได้ ก็ต้องกระโดดเข้าไปเทรดเหมือนกัน”
================
17) ทำไมปู่ถึงลาออกจากบอร์ด Kraft heinz?
ตอนที่ปู่ซื้อ Kraft heinz ผู้นำผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ซอสมะเขือเทศ Heinz ที่เราน่าจะเคยทานกันอยู่แล้ว
เมื่อหลายปีก่อนแบบจัดหนัก ก็สร้างความฮือฮาพอสมควร แต่เมื่อเร็วๆนี้ฮื่อฮากว่าที่ปู่ลาออกจากการนั่งอยู่ในบอร์ดบริหาร
ปุ่ถูกตั้งคำถามว่า เอ… เป้นเพราะว่า Kraft heinz พยายามไปเข้าซื้อกิจการ Unilever ยักษ์ใหญ่ด้านอุปโภค บริโภค แบบ hostile takeover แบบที่ Unilever ไม่เต็มใจหรือไม่? ซึ่งในท้ายที่สุด Unilever ก็ปฏิเสธดีลนี้ไป
เหตุผลสำคัญคือ ปู่บอกว่า ตอนนี้ปู่ก็อายุ 87 แล้ว นั่งเป็นบอร์ดบริหารเยอะแย่มากมาย ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งในบอร์ดนี้อีก
ปู่บอกว่า ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรอกสำหรับการซื้อกิจการแบบไม่เป็นมิตร แต่ปู่ยินดีมากกว่าถ้าการซื้อกิจการครั้งไหนๆเป็นแบบเป็นมิตรกัน
ส่วนคุณมังเกอร์ดูจะไม่เห็นด้วยกับดีลลักษณะนี้ เค้าบอกว่าเป็นดีลที่บ้ามากๆ
================
18) มองโอกาสลงทุนอย่างไร?
มองหาโอกาสตลอดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ง่าย เพราะสิ่งที่ปู่มองหาคือ บริษัทที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก ไม่ต้องเป็นบริษัทที่เราต้องฉลาดสุดๆถึงจะลงทุนได้
แต่การลงทุนก็ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลา แม้ว่าก่อนหน้านี้อาจารย์ของเค้า คุณเบน เกรแฮมจะให้แนวคิดการลงทุนที่ดี (เดี๋ยวผมมาเล่าเพิ่มนะครับ)
มังเกอร์เสริมว่า แนวคิดของเกรแฮม เป็นสิ่งที่ใช้ได้ในอดีต ตอนนี้โลกเปลี่ยน เราเองก็ต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุน เพราะเกมมันเปลี่ยนไปแล้ว การเรียนรู้ต้องไม่สิ้นสุด ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆเสมอๆ
ปู่ให้ข้อสังเกตว่า แนวคิดของเกรแฮม ไม่สามารถใช้ได้ดีตอนที่คุณมีตังเยอะแล้ว
================
19) มองการลงทุนในจีนอย่างไร?
เป็นคำถามที่ถูกถาม 2-3 รอบเลยนะครับ
มังเกอร์ตอบเลยว่า นักลงทุนสหรัฐควรมองหาโอกาสเติบโตในประเทศจีน แต่เป็นตลาดที่ยากเกิดไป ซับซ้อนมากพอสมควร
แต่ปู่ก็แซวว่า คุณมังเกอร์ผลักดันให้ปู่เข้าไปลงทุนในจีนมากขึ้นเรื่อยๆ
================
20) มีโอกาสที่ปุ่จะลงทุนใน Amazon, Google ไหมเอ่ย?
ปู่ย้ำว่า การที่ไม่ซื้อหุ้น Google ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต (แซวว่า ออฟฟิศของ Google เหมือนเป็นโรงเรียนอนุบาล สีสันสวยงาม แต่เป็นโรงเรียนอนุบาลที่รวยมากๆๆๆ)
ปู่มองว่า สิ่งที่คุณ Jeff Bezos ได้สร้าง Amazon ขึ้นมาเป็นปาฏิหาริย์ มากๆ
แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรมากมายแม้ว่าจะทำให้พลาดโอกาสทำกำไรมากมายนะครับ เพราะว่าตัวเค้าเองไม่อยากลงทุนอะไรที่ ยังไม่เข้าใจแบบทะลุปรุโปร่ง
ปู่บอกว่า ตอนนี้การลงทุนใหม่ๆที่เป็นแนวเทคโนโลยี จะเป็นทางทายาทนั่นคือ Ted Weschler (อายุ 55 ปี) และ Todd Combs (อายุ 47 ปี) ที่จะเข้ามาวิเคราะห์และประเมินธุรกิจใหม่ๆเหล่านี้ เพราะเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์แห่ง Berkshire ไม่เข้าใจ
================
ข้อมูลเครื่องเคียง Berkshire Hathaway:
ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ปู่ปรับพอร์ตหนักสองตัวครับ
ซื้อ: Apple แบบจัดหนักเพิ่มทำให้ ตอนนี้มีมูลค่าหุ้นกว่า 1.3 ล้านล้านบาท
โดยมีวลีเด็ดจากปูว่า “Apple เป็นบริษัทที่น่าทึ่งมาก คุณลองดูสิว่า Apple ทำกำไรได้มากกว่า บริษัทที่ทำกำไรได้สูงที่สุดในสหรัฐ มากถึง 2 เท่า!!!!
และคาดว่าปู่จะได้เงินปันผลจาก Apple สูงถึงปีละ 700 ล้านเหรียญ หรือ 21,000 ล้านบาทต่อปี (แหม.. ก็แกจัดหนักซะขนาดนั้นนิเนอะ)
ขาย: IBM แบบหมดพอร์ต (ล็อตสุดท้ายที่ปู่ขาย มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท) หลังจากทยอยขายมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
================
ล่าสุด ปู่ประกาศผลประกอบการ Birkshire Hathaway
ขาดทุน Q1-2561: 1,140 ล้านเหรียญหรือ 34,000 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ( https://www.facebook.com/Tam.eig/posts/1677516802344654)
Market Cap: 4.8 แสนล้านเหรียญ (14.5 ล้านล้านบาท)
Forwarded P/E: 22x
นับตั้งแต่ปี 1964 จนถึงตอนนี้: บริษัท Berkshire Hathaway สร้างผลตอบแทนสูงถึง 24,047 เด้ง!!!!!
=======================
ไม่อยากพลาด! Add line@ ไว้นะครับ
คลิก https://line.me/ti/p/%40Eig_Banphot