แม้การลงทุนช่วง 1-2 ปีนี้จะหินมากครับ แต่นักลงทุนรุ่นใหญ่อย่าง คุณปู่บัฟเฟตต์ เคยพูดว่า “ให้มองว่าตลาดผันผวนเป็นเพื่อนมากกว่าเป็นศัตรู และให้มองหาโอกาสการลงทุน (จากภาวะตลาดผันผวน) มากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งของมัน”
วันก่อนผมได้อ่านบทวิเคราะห์ของ Citigold แล้วน่าสนใจมาก ผมเลยอยากสรุปมุมมองการลงทุน ไว้ให้เป็นไอเดีย หาโอกาสลงทุนกันครับ
1. เศรษฐกิจโลกยังเติบโตดี โดยมีตลาดเกิดใหม่เป็นพระเอกครับ

กราฟฟิค: คาดการณ์เศรษฐกิจโลก
ที่มา: Citi Research
“คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.1% ในปีนี้” นักวิเคราะห์ของ Citi มองว่าเศรษฐกิจโลกเติบโตน้อยลงครับ แต่ยืนยันว่ายังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจถดถอย
เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ ยังมีโอกาสเติบโตได้จากนโยบายการคลังช่วยหนุนอยู่ ส่วนยุโรปก็ยังพอขยายตัวต่อได้ จากการบริโภคภายในประเทศ
แต่ถ้าถามว่า เศรษฐกิจไหนเป็นพระเอกในปีนี้? หลัก ๆ แล้ว คือ “ตลาดเกิดใหม่” ครับ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้มากถึง 4.5% มากกว่าตลาดที่พัฒนาแล้วที่มีแนวโน้มเติบโตเพียง 2%

กราฟฟิค: สัดส่วนการส่งออกของตลาดเกิดใหม่เทียบกับตัวเลข GDP
ที่มา: Citi Research
นอกจากนี้ ตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะในเอเชียพึ่งพาตลาดโลกน้อยลง จากเดิมที่เคยพึ่งพาการส่งออกมากถึง 32% ของ GDP ในปี 1997 ตอนนี้ลดลงเหลือเพียง 24%
เห็นตัวเลขนี้แล้วสบายใจครับ เพราะเท่ากับว่าการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ไม่ต้องฝากความหวังกับตลาดโลกมากนัก ผมว่าช่วยลดความกังวลจากสงครามการค้าได้เยอะเลยนะครับ
“การขยายตัวของความเป็นเมืองมากขึ้น พร้อม ๆ กับการที่คนในประเทศตลาดเกิดใหม่มีเงินออม ทำให้มีกำลังซื้อในการจับจ่ายใช้สอย” เป็นอีก 2 ปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้เติบโตได้ดีครับ ทำให้ปีนี้ตลาดเกิดใหม่เป็นดาวเด่นที่น่าจับตามองมากจริง ๆ
ในขณะเดียวกัน มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนก็ยังน่าสนใจ แม้ว่าหลายคนกังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง (ล่าสุดประกาศตัวเลขการเติบโต GDPต่ำที่สุดในรอบ 28 ปี) เนื่องจากรัฐบาลจีนจัดหนักจัดเต็ม ใช้ทั้งนโยบายการคลังและการเงิน รวมถึงค่าเงินหยวนที่มีเสถียรภาพ ทำให้เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มที่เติบโตดีครับ

กราฟฟิค: ค่า P/E ของตลาดหุ้นโลก
ที่มา: Citi Research
อีกหนึ่งเหตุผล คือภาพนี้เลยครับ ตลาดเกิดใหม่มีค่า P/E ที่ถูกกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว ทำให้ตลาดเกิดใหม่น่าลงทุนมากกว่า
==========
2. ยังไม่จบภาวะกระทิง (ตลาดขาขึ้น) อย่าเพิ่งถอดใจครับ
“เราอยู่ในช่วงปลายของ วัฏจักรขาขึ้นที่ยาวนานกว่า 9 ปีก็จริง แต่ยังไม่ถึงจุดจบครับ” นักวิเคราะห์ Citibank ยืนยันว่า เหตุผลที่ตลาดหุ้นจะไปต่อได้ มาจากการที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตแข็งแกร่งครับ
กราฟฟิค: อัตราการเติบโตของ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียน
ที่มา: Citi Research
“กำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐมีแนวโน้มเติบโตก็จริงแต่น้อยลงจาก 22% เหลือเพียง 11%” เพราะปีที่แล้วได้ประโยชน์จากนโยบายลดภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ (ปีนี้ ฐานเท่ากันแล้วครับเลยไม่ได้ประโยชน์)
แต่จุดที่น่าสนใจคือ นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะในไทยและมาเลเซีย จะได้ประโยชน์จากสงครามการค้า (ย้ายฐานการผลิตมา) และทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเติบโตครับ
ส่วนหุ้นกลุ่มที่แนะนำให้ลงทุน 3 กลุ่มคือ
“หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี”
“หุ้นกลุ่มวัสดุ”
“หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและการแพทย์” ครับ
==========
3. ถึงเวลาหาหลุมหลบภัยจากภาวะตลาดผันผวน

กราฟฟิค: ปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ของธนาคารกลาง
ที่มา: Citi Research
“คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้” ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นยังคงใช้มาตรการผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปครับ
นักวิเคราะห์มองว่า นโยบายที่มีความแตกต่างแบบนี้แหละครับ ที่ทำให้เกิดความผันผวน โดยมีคำแนะนำ ให้หาสินทรัพย์ที่เป็นหลุมหลบภัยติดพอร์ตลงทุนไว้ด้วยครับ

กราฟฟิค: อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009
ที่มา: Citi Research
“พันธบัตรที่อยู่ระดับน่าลงทุน (Investment Grade) ของสหรัฐ ที่มีอายุเหลือสั้นและปานกลาง” และพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (US High Yield) เป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนเพราะให้ผลตอบแทนสูง และอัตราการผิดนัดชำระหนี้เริ่มลดลง ทำให้ความเสี่ยงน้อยลงครับ
==========
4. ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า
“ขาดดุลงบประมาณเรื้อรัง และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐ” ในขณะที่ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มมีผลลดลง และปัญหาทางการเมืองภายในประเทศสหรัฐ
เป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมนักวิเคราะห์ Citibank ถึงมองว่า ค่าเงินดอลลาร์ถึงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงครับ

กราฟฟิค: แนวโน้ม US Dollar Index
ที่มา: Citi Research
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ทำให้ราคาทองคำมีโอกาสเพิ่มขึ้น และการที่ทองคำ เปรียบเสมือนกับ safe haven เป็นหลุมหลบภัยที่ดีให้กับนักลงทุนในช่วงตลาดผันผวน ทำให้ทองคำเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าสนใจครับ โดยมีเป้าหมายราคาเฉลี่ยทั้งปีนี้ที่ระดับ 1270 เหรียญต่อออนซ์
==========
5. ความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง

กราฟฟิค: ความเสี่ยงทางการเมืองเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น
ที่มา: Citi Research
นักวิเคราะห์ Citibank มองว่า ความเสี่ยงทางการเมืองในแต่ละประเทศจะลากยาวไปตลอดทั้งปี 2019 นีี้
ความเสี่ยงทางการเมืองก็มีทั้งสงครามการค้า, นโยบายปกป้องการค้า, การเมืองอิตาลี และ Brexit การแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป
นี่เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงของการเมือง ที่นักวิเคราะห์ Citibank มองว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและราคาของสินทรัพย์ ทำให้เกิดความผันผวนไปตลอดทั้งปีครับ
==========
6. สรุปแล้วสินทรัพย์ไหนน่าลงทุน?
กลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงนี้คือ การกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก

กราฟฟิค: ผลตอบแทนของสินทรัพย์ในอดีต
ที่มา: Citi Research
“ในระยะยาวการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในช่วงที่มีความผันผวนครับ เพราะแต่ละปีจะมีพระเอกที่แตกต่างกัน”
ไม่ต้องเดาว่าปีนี้สินทรัพย์ไหนจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดครับ เพียงแค่เราจัดพอร์ตให้ดี เราก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนดีสม่ำเสมอครับ 🙂
=========
สรุปความเห็นของ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน
การลงทุน สถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้เกิดความผันผวนตลอดเวลา อย่างที่ปู่บัฟเฟตต์บอกแหละครับว่า
“ให้มองว่าตลาดผันผวนเป็นเพื่อนมากกว่าเป็นศัตรู และให้มองหาโอกาสการลงทุน (จากภาวะตลาดผันผวน) มากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งของมัน”
การฟังสัมมนาดี ๆ แบบนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เราเห็นโอกาสจากภาวะความผันผวน และเตรียมตัวรับมือได้ แต่ถ้าหากไม่มีเวลา ผมแนะนำให้ปรึกษาทีมงานของซิตี้โกลด์ครับ เพราะนอกจากสัมมนาดี ๆ แบบนี้ที่จะช่วยเติมความคิด ทำให้เราเห็นแนวโน้มการลงทุนที่อัพเดทตลอดเวลาแล้ว

ที่มา: Citigold
ความเจ๋งของซิตี้โกลด์ คือเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ที่ให้เราเลือกลงทุนได้ จาก 180 กองทุนรวมจาก 6 บลจ.ไทย และ 10 บลจ. ต่างชาติชั้นนำ และกว่า 50 ตราสารหนี้จากบริษัทนานาชาติที่มีชื่อเสียง (เช่น Apple, Microsoft, Disney, JP Morgan, ฯ) อีกทั้งยังระดมทีมนักวิเคราะห์กว่า 400 คนทั่วโลกที่พร้อมจะเสิร์ฟข้อมูลให้เรารับมือกับความผันผวนได้
และเพื่อให้ทีมที่ปรึกษาจากซิตี้โกลด์ สามารถให้คำปรึกษาได้ในเชิงลึก และด้วยความเข้าใจด้านการลงทุนเป็นลึกซึ้ง ทางธนาคารซิตี้แบงก์ได้ร่วมมือกับสถาบัน The Wharton School of the University of Pennsylvania ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาด้านการเงินที่โด่งดังที่สุดในโลก ก่อตั้งสถาบัน Citi l Wharton Global Wealth Institute เพื่อฝึกสอนด้านการลงทุนให้แก่ผู้ดูแลบัญชีซิตี้โกลด์ (Citigold Relationship Manager) ให้พร้อมให้คำแนะนำด้านการลงทุนเชิงลึก ให้เราสบายใจ
Wharton ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดด้านการเงินการลงทุน เรียกได้ว่าใครมาทางสายนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักเป็นสถาบันนี้แนะนอน ยิ่งถ้าไปดูศิษย์เก่าที่จบจากสถาบันนี้ทั้งในและต่างประเทศ ก็ต้องร้องอ๋อ กันทีเดียวครับ


ที่มา Citigold
ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk ที่เรารู้จักกันอย่างดี, John Sculley อดีต CEO ของ PepsiCo และ Apple Computer และผู้บริหารระดับประเทศอีกหลายคน
ที่มา Citigold
ส่วนศิษย์เก่าที่เป็นผู้บริหารไทยสายแข็งทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะเป็น คุณสมเกียรติ ศิริชาติไทย กรรมการและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. เอเชียพลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) และ คุณภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นต้น
ดูรายชื่อแล้ว อุ่นใจได้ครับ นอกจากนี้ ก็ยังมีคำบอกต่อจากผู้ที่ใช้บริการที่ปรึกษาการลงทุนจากซิตี้โกลด์อยู่แล้วอย่างคุณสู่ขวัญ บูลกุล สาวสวยมากความสามารถ มายันยืนให้ฟังกันอีกที https://youtu.be/MIlFmb-55ow
=========
ส่วนเงื่อนไขการเปิดบัญชีลงทุนกับซิตี้โกลด์ คือต้องมีเงินฝาก และ/หรือ การลงทุนกับธนาคารซิตี้แบงก์ รวม 5 ล้านบาทขึ้นไปครับ
พิเศษเฉพาะช่วงนี้ มีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าซิตี้โกลด์ใหม่ที่ถือบัตรเครดิตซิตี้ รับสูงสุด 200,000 คะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด จากโปร Double Up รับคะแนนสะสมเพิ่มอีกเท่าตัว วันนี้ – 31 ส.ค. 62 รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนพิเศษ 1.7% ต่อปี
สนใจรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิตี้โกลด์ สามารถติดต่อได้ที่ 0-2081-0999 หรือเข้าไปสมัครออนไลน์ผ่านลิ้งก์นี้ได้เลยครับ https://citi.asia/ThScCg417
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน ลงทุนมีความสุขครับ
ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน หน่วยลงทุนไม่เสนอขายให้บุคคลอเมริกัน