“ทำธุรกิจในนามบุคคลแบบนี้ต่อไป หรือจะจดทะเบียนบริษัทดีกว่ากัน?”
สำหรับเจ้าของร้านอาหารทุกคน หากให้นึกย้อนกลับไปถึงวันแรกที่เริ่มทำเปิดร้านอาหารเล็ก ๆแล้วให้เล่าให้ฟังว่าเจอปัญหาอะไรมาบ้าง ผมว่าคงเล่าได้เป็นวันๆเลยจริงมั๊ยครับ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องลูกน้อง เรื่องการหมุนเงิน การซื้อวัตถุดิบ หรือยอดขายไม่มากพอ ปัญหาทั้งหลายชวนปวดหัวทั้งนั้น
แต่วันนี้ ผมอยากมาชวนคิดถึง Good problem หรือปัญหาที่ถ้าเกิดขึ้น แสดงว่าธุรกิจกำลังไปได้ดีกันบ้าง ถ้าใครเจอปัญหานี้ คงพร้อมแก้ปัญหาไปพร้อมรอยยิ้มเลยนะครับผมว่า
“ทำธุรกิจในนามบุคคลแบบนี้ต่อไป หรือจะจดทะเบียนบริษัทดีกว่ากัน?”
———————————————-
หลายคนเริ่มต้นจากการขายอาหารในนามบุคคลธรรมดา คำอาจจะดูงงๆนิดหน่อย พูดง่ายๆก็คือเวลารับเงิน หรือออกเอกสารพวกใบเสร็จต่างๆให้ลูกค้า เราใช้ชื่อ นามสกุลเรานี่แหละ
ข้อดีก็คือ ได้ความคล่องตัวและไม่มีขั้นตอนซับซ้อน เช่น การทำบัญชีก็บันทึกง่ายๆ แบบรายรับ/รายจ่าย, ไม่ต้องจัดทำงบการเงินเพื่อนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และลดจำนวนแบบฟอร์มทางภาษีที่ต้องยื่นระหว่างเดือน
ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไมเมื่อธุรกิจเติบโตถึงจุดหนึ่ง คนส่วนมากถึงหันมาจดทะเบียนบริษัทกันละ?
“เพราะว่าบริษัทเสียภาษี น้อยกว่าบุคคลธรรมดา”
อ่านถึงประโยคนี้แล้วอย่าเพิ่งรีบวิ่งไปจดทะเบียนบริษัทนะครับ อ่านต่อไปอีกนิด เพราะถึงแม้จะมีข้อดี ก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน
———————————————-
“ก่อนตัดสินใจ ต้องพิจารณาอะไรบ้าง?”
1. พิจารณาค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายเพิ่มว่าคุ้มหรือไม่
ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เริ่มตั้งแต่ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไปจนถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี
1.1 ค่าจดทะเบียนบริษัท ขั้นตอนนี้หากทำเอกสารไปยื่นเองอะไรเอง ค่าธรรมเนียมที่ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเก็บก็จะอยู่ที่ประมาณ 5,000-6,000 บาท สำหรับทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท แต่หากรู้สึกว่าทนความซับซ้อนของการกรอกเอกสารทั้งหลายไม่ไหว บริษัทบัญชีหลายแห่งก็รับทำให้ครับ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกประมาณ 3,000-5,000 บาท
1.2 ค่าจ้างพนักงานบัญชี (เป็นพนักงานประจำ) หรือจะจ้างสำนักงานบัญชีทำบัญชีเป็นรายเดือนก็ได้ ค่าใช้จ่ายมากน้อยขึ้นอยู่กับประเภท และขนาดของธุรกิจ
1.3 ค่าจัดทำงบการเงินตอนสิ้นปี และค่าผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเพื่อเซ็นรับรองความถูกต้องของงบการเงิน (ปีละครั้ง) โดยเท่าที่เห็นมาคร่าวๆสำหรับกิจการที่เติบโตจะมีค่าใช้จ่ายก้อนนี้ประมาณตั้งแต่ 20,000 ขึ้นไปต่อปี (อันนี้ไม่นับบริษัทที่จดขึ้นมาแล้วทิ้งไว้เฉย ๆ นะครับ แล้วก็ขึ้นกับสำนักงานบัญชีแต่ละที่ด้วยครับ)
2. มองหาผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มได้หรือยัง เพราะปัจจุบัน การจดทะเบียนบริษัทยังคงต้องมีผู้ถือหุ้นบริษัทอย่างน้อย 3 คน แต่ละคนจะมากจะน้อยก็ได้ หรือมีหุ้นเดียวก็ได้ครับ
3. พร้อมกับความยุ่งยากเรื่องเอกสารหรือไม่ ตั้งแต่ขั้นตอนเอกสารต่างๆ จนถึงการยื่นแบบทางภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นในแต่ละเดือน เช่น การออกใบหัก ณ ที่จ่าย, การยื่นแบบ ภงด.3 (ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากเรามีการจ่ายเงินที่เป็นค่าบริการให้กับบุคคลอื่น) หรือ ยื่นแบบ ภงด.53 (ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากเรามีการจ่ายเงินที่เป็นค่าบริการให้กับบริษัทหรือนิติบุคคลอื่น)
ถ้าไม่จ้างคนทำบัญชี ก็ต้องจดต้องจำให้ดีเลยนะครับ เพราะหากเลยกำหนดหรือยื่นไม่ครบ ก็อาจจะมีค่าปรับจากการที่เราความจำไม่ค่อยดีด้วย
4. พร้อมที่จะเปิดใจเรียนรู้การบันทึกบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีหรือไม่ พอเปลี่ยนมาเป็นบริษัท การทำบัญชีก็จะต้องเป็นไปตามหลักการต่างๆ เช่น จากของที่เคยซื้อมาแล้วเมื่อก่อนจดเป็นค่าใช้จ่าย พอจดบริษัทปุ๊บ ก็ต้องจดว่าเป็นสินทรัพย์คอยตัดค่าเสื่อมแต่ละปี ตามจำนวนปีที่กำหนด หลายคนรู้สึกขัดออกขัดใจ เพราะต้องเก็บข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อันนี้ต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะครับ
5. รายได้มากถึงจุดที่คุ้มที่จะเปลี่ยนไปทำธุรกิจในนามบริษัทหรือยัง? ข้อสุดท้ายแต่น่าจะสำคัญที่สุดคือ ข้อนี้แล้วแต่กิจการเลยจริงๆครับ เพราะความสามารถในการทำรายได้ และจำนวนค่าใช้จ่ายแต่ละธุรกิจก็แตกต่างกันไป แต่ก็แนะนำให้ประมาณการคร่าวๆไว้ล่วงหน้าเพื่อวางแผนและเตรียมตัวนะครับ
การคำนวนหากใครรู้หลักการคร่าวๆก็คำนวนเองได้เลยครับ แต่หากใครรู้สึกว่าเจอตัวเลขทีไรงงงวยทุกที ผมก็มีลิงค์ดีๆของ itax ที่ช่วยเปรียบเทียบค่าภาษีระหว่าง บุคคลธรรมดา กับ บริษัทให้กับร้านอาหาร/เครื่องดื่มมาแชร์ครับ ลองคำนวนดูว่าร้านเราพร้อมหรือยัง?
คลิก https://www.itax.in.th/entp/customer/chef/v2/comparison
———————————————-
ความเห็นจาก ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน
จริง ๆ แล้ว การจ่ายภาษีน้อยลงไม่ใช่ข้อดีข้อเดียวของการจดบริษัทหรอกนะครับ ถึงแม้จะยุ่งยากนิดหน่อย มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่การจดบริษัทช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเรา ในสายตาของคนคู่ค้าที่เราทำธุรกิจด้วย เนื่องจากเป็นการบันทึกบัญชีตามหลักมาตรฐาน และมีคนภายนอกคอยตรวจสอบความถูกต้อง
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือตัวเลขผลการดำเนินงานที่ได้ ช่วยสะท้อนให้เราเห็นภาพธุรกิจที่ถูกต้อง และช่วยให้เราจัดการธุรกิจของเราได้ดีขึ้นนะครับ