ด่วน! สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 2
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน
มันส์มากๆครับ ได้ความรู้กันไปเต็ม ๆ (แหม… ขนาดอายุเท่านี้แล้ว ยัง active สุดๆ น่าชื่นชมมากครับ) มาลุยอ่านตอนที่ 2 ต่อกันเลยครับ
============
11. มุมมองเกี่ยวกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เป็นอย่างไร?
“ไม่แน่ใจว่าบริษัทเฟอร์นิเจอร์บางราย อย่าง Wayfair จะเป็นอย่างไร หลังจากที่ยอมขาดทุนเพื่อให้ลูกค้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น” (ไม่แน่ใจว่าเป็นการทำโปรโมชั่น ลดแลก แจกแถม หรือป่าว)
ปู่บัฟเฟตต์บอกว่า วิธีนี้กำลังทำร้ายค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ 4 รายในระยะสั้น แต่เค้าไม่รู้ว่าโมเดลธุรกิจแบบนี้จะดีในระยะยาวหรือป่าว “ยังมีโอกาสประสบความสำเร็จอยู่บ้าง” แต่มั่นใจว่าธุรกิจที่ Berkshire ลงทุนอยู่น่าจะมีความสามารถในการแข่งขัน
“การให้ลูกค้ามารับสินค้าที่หน้าร้าน จะทำให้เราเรียนรู้ว่าลูกค้าชอบอะไร หรือไม่รู้อะไร” นี่คือสิ่งที่มองว่าเป็นข้อได้เปรีบครับเพราะเราจะเรียนรู้ได้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นยังไง
“ตอนนี้ Nebraska Furniture Mart (บริษัทที่ปู่ลงทุนอยู่) ทำกำไรได้มากถึง 9.3 ล้านเหรียญ ทั้ง ๆ ที่มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้นแค่ 2,500 เหรียญ และไม่เคยเพิ่มทุนเลย” ปู่เลยบอกว่า น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีเลยแหละ
============
12. ชื่นชม Jeff Bezos อภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก
“การที่เราไม่ได้ลงทุนในหุ้น Amazon ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ (ก่อนที่ราคาหุ้นจะวิ่งเป็นม้า)” ปู่ ชาร์ลี มังเกอร์ ตอบทันทีว่า “เฮีย Jeff Bezos เก่งมาก เหมือนเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์”
ปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า การที่ Berkshire เข้าไปลงทุนในหุ้น Amazon เมื่อไม่นานมานี้ ไม่ได้เปลี่ยนหลักการของการเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่าแต่อย่างใด
ปู่เคยพูดอยู่ครั้งนึงครับว่า เค้าชื่นชมเฮีย Jeff Bezos มากๆ “ผมเป็นแฟนคลับของคุณ Bezos เลยแหละ และผมเสียดายมากที่ไม่ได้ซื้อหุ้น Amazon ก่อนหน้านี้”
ปู่บอกว่า เค้าเคยเจอเฮีย Bezos ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และรู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้ เป็นคนมีของ เป็นคนที่พิเศษมากๆไม่เหมือนคนอื่น
แต่ก็ยอมรับว่าไม่เคยคาดคิดว่า จากเดิมที่ขายหนังสือออนไลน์ จะสามารถขยายธุรกิจมาขายของทุกอย่างบนโลกใบยนี้ได้ อย่างทุกวันนี้ครับ
============
13. คำถามที่น่าสนใจอีกอย่างคือ “ถึงจุดจบของแนวคิดการลงทุนแบบหุ้นคุณค่าแล้วหรือยัง?”
อย่างที่เราเห็นแหละครับว่าสไตล์การลงทุนหลังๆของ Berkshire เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เริ่มซื้อหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น
“การลงทุนทุกอย่าง ยังเป็นไปตามหลักคิดของนักลงทุนหุ้นคุณค่า” ปู่บอกครับ และย้ำว่าราคาหุ้นในกระดานไม่ควรเป็นเพียงปัจจัยเดียวในการพิจารณาว่าเป็นการลงทุนหุ้นคุณค่าหรือไม่
โดยปู่บอกว่า ตัวเค้ายังมั่นใจในตัว Ted และ todd ที่เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เข้ามาตัดสินใจในการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีหลายๆตัว
“ผมยังเชื่อใจพวกเค้า และไม่เคยลังเลเกี่ยวกับแนวทางการลงทุนของพวกเค้าเลยแม้แต่น้อย” “เพราะพวกเค้าพยายามมองหาในสิ่งที่พวกเค้าเข้าใจ และเป็นธุรกิจที่จะศักยภาพในการพัฒนาไปได้อีกมาก”
คุณปู่ชาร์ลี มังเกอร์ เสริมว่า สิ่งที่เค้าเสียใจ ไม่ใช่การที่ไม่ได้ซื้อหุ้น Amazon ตั้งแต่ไม้แรกๆนะครับ แต่เป็นหุ้น Google ต่างหาก
ปู่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยครับ พร้อมบอกว่า เราเห็นชัดแล้วว่า บริษัทลูกของเราอย่าง Geico ซื้อโฆษณา goole มากมายแค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้ซื้อหุ้น google และนั่นคือข้อผิดพลาดอย่างหนัก
============
14. แนะนำให้กองทุนบำเหน็จ บำนาญ pension fund พิจารณาการลงทุนให้ดี
เป็นคำถามที่ตึงเครียดเหมือนกันครับ ตอนนี้จะเห็นว่าระยะหลังกองทุนบำเหน็จ บาญ ของสหรัฐเข้าไปลงทุนใน private equity และ hedgefund เยอะมากขึ้นหลายเท่าตัวตลอด สิบปีที่ผ่านมา
“ผมคงจะไม่ตื่นเต้นอะไรมากมาย กับสิ่งที่เรียกว่าการลงทุนทางเลือกครับ” ปู่บอกครับ
แต่สิ่งที่ปู่เตือนคือ ตอนนี้เราจะเห็นว่าบางกองทุน private equity และ hedgefund มีค่าธรรมเนียมที่สูง และมีความเสี่ยงมาก และจะเห็นว่าการคำนวณผลตอบแทนอาจจะไม่ถูกต้องนัก (ที่แสดงให้นักลงทุนดูเพื่อตัดสินใจซื้อกองทุน)
“ถ้าผมเป็นคนบริหารกองทุนบำเหน็จ บำนาญ ผมจะระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับแนวทางในการลงทุน” ปู่ปิดท้ายครับ
============
15. มีน้องอายุ 13 ปีคนนึงถามว่าปู่อดทนและพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้อย่างไร แล้วเด็กๆจะพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ยังไง (ถามอีกแฮะ)
ประเด็นนี้สำคัญครับ คุณปู่บอกว่า ไม่จำเป็นที่ทุกครอบครัวจะมองว่าการประหยัดเงินเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่ควรทำในชีวิตของเรา (โดยมองว่าระดับอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ ยังไงการลงทุนในหุ้นก็ดีกว่าพันธบัตรในระยะยาวอยู่แล้วครับ)
“มีหลายอย่างมากๆที่จะช่วยให้คุณและครอบครัวของคุณมีความสุขมากกว่าการที่จะ มานั่งประหยัดกันทุกบาท ทุกสตางค์” ผมเข้าใจว่าปู่คงอยากจะบอกว่า การออมเงินเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่การออมเงินแบบทำให้ชีวิตของเราลำบากครับ
ปู่สอนแนวคิดได้ดีมากครับ “ถ้าตอนที่คุณมีตัง 5 หมื่นเหรียญ หรือ 1 แสนเหรียญ แล้วคุณยังไม่มีความสุข” “คุณก็จะไม่มีความสุขตอนที่คุณมีเงิน 50 ล้านเหรียญ หรือ ตอนที่เรามีนตัง 100 ล้านเหรียญ คุณก็จะไม่มีความสุขอยู่ดี”
เพราะเราไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความสุขกับเงินที่เรามี (จงมีความสุข พอเพียงตามสิ่งที่เรามี เป็นคำสอนที่ดีมากครับ)
ส่วนปู่ชาร์ลี ตอบว่า หลายคนเกิดมาก็มีความอดทนและพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้ตามพันธุกรรม แต่บางคนก็ไม่มี และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสอนกันได้
============
16. ปีนี้มีเด็ก ๆ มาถามเยอะมากครับ คำถามนึงที่ผมชอบมากๆคือ เด็กคนจีนพูดภาษาอังกฤษเทพมากๆ บอกว่าน้องเค้ามาที่นี่เป็นปีที่ 2 แล้ว
“การที่คุณปู่มังเกอร์เคยบอกว่า ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ จะยิ่งเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากเท่านั้น” “ธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่านั้นคืออะไร” “แล้วการที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์จะช่วยการลงทุนได้อย่างไร” โห… ไม่น่าเชื่อว่า นี่คือคำถามจากเด็กอายุไม่มากครับ คนฮือฮาทั้งห้องเลยครับ เป็นคำถามที่ดีจริง ๆ
“แน่นอนว่า ผมคงจะต้องใช้ไม้ช่วย ถ้าผมต้องเดินลงจากเนินเขา” “หรือถ้าดูผลสอบ SAT ตอนนี้แล้วเปรียบเทียบกับตอนที่ผมอายุ 20 ต้น ๆ ผมคงได้คะแนนน้อยๆแน่ ๆ” ปู่บอกครับ
แต่สิ่งที่ผมทำได้ดีกว่า ตอนวัยรุ่น คือตอนนี้ผมเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากกว่าเดิมมาก
ส่วนปู่ชาลี มังเกอร์ แนะนำให้ดูตัวอย่างจาก ท่าน ลีกวนยู บิดาผู้สร้างชาติสิงคโปร์ครับ “หลักคิดสำคัญของท่านคือ ดูว่าอะไรน่าจะ work อะไรที่น่าจะทำได้แล้วมีทางประสบความสำเร็จ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องลงมือทำ”
“น้องแค่ต้องออกไปใช้ชีวิต แล้วพกปรัชญาในการใช้ชีวิตที่น้องคิดว่าน่าจะ work แล้วก็ลงมือทำ แค่นั้นเอง” ปู่มังเกอร์ปิดท้ายครับ
============
17. ความเห็นเมื่อมองบิทดอยอย่างไร ?
ต้องบอกว่าเป็นคำถามที่แกถูกถามทุกปีเลยครับ คุณปู่บอกว่า “การลงทุนในบิทดอย เหมือนการไปลาสเวกัส แล้วเสี่ยงดวงครับ”
ปู่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ตัวเค้าพาแฟนไปฮันนีมูน ในปี 1952 ตอนนั้นเจ้าสาวอายุ 19 ปี ส่วนตัวเค้า อายุ 21 ปี
“ผมมองไปรอบ ๆ แล้วเห็นคนแต่งตัวดีมากๆ แล้วเดินทางไปที่ลาสเวกัส เพื่อทำอะไรบางอย่างทั้งๆที่รู้ว่า การเสี่ยงดวงแบบนั้นเมื่อคำนวณทางคณิตศาสตร์แล้วไม่มีทางที่จะคุ้มเลย แต่เค้าก็ชอบทำกัน” นี่เป็นการเปรียบเทียบที่คมคายมากครับ
============
18. ข้อดีของการลงทุนในบริษัทประกันของ Berkshire
มีคนถามว่า ตัวเค้าวิเคราะห์และให้คุณค่ากับบริษัทประกันของเค้าอย่างไร ปู่ตอบทันทีว่า “บริษัทประกันมีค่ามากกว่าที่เราเห็นในกระดาษ และ Berkshire จะไม่มีวันขายออกไปเด็ดขาด”
ความสวยงามของธุรกิจประกันประเภทนี้คืออะไร? มันก็คือ บริษัทประกันจะรับเงินเบี้ยประกันแบบ upfront คือรับเงินทันทีเลย แต่จ่ายค่าสินไหมทดแทนภายหลัง
โอเคแหละครับ ต้องมีจ่ายชดเชยช่วงที่เจอภัยพิบัติบ้าง แต่ปกติแล้วก็จะไม่ต้องจ่ายโดนทันที แต่เป็นการทยอยจ่ายไปในระยะเวลาหลายสิบปีครับ ทำให้มีผลประโยชน์เกิดขึ้นครับ
ผลประโยชน์แบบนี้เรียกว่า Float ครับ หรือเงินที่รับมาแล้ว สามารถเอาไปหมุนต่อ (เอาไปลงทุนต่อ) ได้โดยที่ไม่ต้องรีบจ่ายออกไป (เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ)
“เรามีสินทรัพย์มากมาย ในบริษัทประกันที่ไม่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ และเราสามารถใช้เงินที่เรียกว่า Float นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าบริษัทประกันส่วนใหญ่ในตลาด”
นอกจากนี้ Ajit ผู้บริหารคนเก่งที่มีโอกาสมาเป็นผู้สืบทอดอาณาจักร berkshire ยังเสริมว่า ปกติแล้วเค้าจะรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุดที่จะสามารถทำได้ แล้วก็คำนวณความเสี่ยงที่แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยก็ตาม
พอรู้ความเสี่ยงแล้วก็ต้องทดสอบดูว่า เราสามารถรับมือความเสี่ยงเหล่านั้นได้หรือไม่
“คุณ Ajit เป็นคนที่เก่ง เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีบริษัทไหนในโลกใบนี้มี” ปู่บอกครับ โอโห พูดแบบนี้คุณ Ajit น่าจะปลื้มไปอีกนานเลยครับ จะสังเกตว่าปู่ไม่เคยยกความดีให้ตัวเองเลยครับ มีแต่ยกให้ลูกทีม สุดยอดจริง ๆ ครับ
============
19. ถ้าอยากบริหารจัดการเงินบ้างควรทำอย่างไร?
ปู่ตอบว่า “ผมไม่คิดว่าคุณควรบริหารจัดการเงินให้คนอื่น จนกว่าคุณจะมีเครื่องมือในการลงทุน และสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่มีเคมีตรงกับคุณได้”
แต่ถ้าจะทำจริงๆ ควรเริ่มจากเล็กๆ และแม้จะทำผิดพลาดบ้างก็คงจะไม่เป็นอะไรครับ ปู่เสริมครับ
============
20. คำถามนึงที่ถูกถามเรื่อย ๆ คือ การดำเนินงานของ Kraft heinz ครับ
คำถามคือ ข้อผิดพลาดที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาด เป็นเพราะพวกเค้าไมได้ลงทุนด้านการวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทำให้เป็นการทำลาย Moat ป้อมปราการ ขีดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือไม่
ปู่บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่การตัดงบด้านการวิจัย แต่ปัญหาคือการตัดสินใจซื้อกิจการที่ราคาสูงเกินไป
โดยย้ำว่า Kraft Heinz เป็นธุรกิจที่ดี และตอนนี้ก็ทำกำไรได้มากกว่าในอดีตในช่วง 6-7 ปีที่แล้วอย่างมาก
============
21. อีกหนึ่งคำถามยอดฮิต คือ การลงทุนใน Apple ที่ถูกถามประเด็นนี้เป็นเพราะว่าระยะหลัง Apple เริ่มเจอกรณีถูกกฏระเบียบมาควบคุมมากขึ้น และเริ่มมีประเด็นข้อพิพาทกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายราย
“ผมยังชอบการลงทุนในหุ้น Apple อย่างมาก และดีใจที่มีหุ้น Apple มากที่สุดในพอร์ต” ปู่ตอบครับ โดยปฏิเสธที่จะคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตของ Apple
“พวกเราอยากมีหุ้น Apple มากกว่านี้” “หากราคาหุ้นต่ำกว่านี้ พวกเราก็จะซื้อหุ้น Apple มากขึ้น”
ปู่มังเกอร์เสริมว่า “ในครอบครัวของผม คนไหนก็ตามที่ใช้โทรศัพท์ Apple ก็จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเลิกใช้” เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความรักต่อ ค่าย Apple อย่างมากครับ
============
อ่านตอนแรกย้อนหลังได้ คลิกที่รูปข้างล่างนี้ได้เลยครับ

============
ไม่อยากพลาด! อย่าลืมกดติดตามนะครับ
[email protected]: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE
Twitter: http://bit.ly/TAM-EIG_Twitter
Youtube: http://bit.ly/TAM-EIG_Youtube
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนและภาพจาก yahoo finance